- ผลวิเคราะห์ล่าสุดพบว่าความชุกของโรคสมองเสื่อมมีแนวโน้มลดลงเพราะการให้ความรู้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพราะปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ
ข้อมูลใหม่ที่ได้รับการเผยแพร่ในการประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ประจำปี 2564 หรือ Alzheimer's Association International Conference(R) (AAIC(R)) 2021 ที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา และถ่ายทอดผ่านทางออนไลน์ ระบุว่า แนวโน้มการเข้าถึงการศึกษามากขึ้นจะช่วยลดความชุกของโรคสมองเสื่อมทั่วโลกราว 6.2 ล้านเคสภายในปี 2593 แต่ในขณะเดียวกัน แนวโน้มการสูบบุหรี่ ดัชนีมวลกายสูง และระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะเพิ่มความชุกของโรคสมองเสื่อมในระดับใกล้เคียงกันที่ 6.8 ล้านเคส
คณะนักวิจัยจากสถาบันชี้วัดและประเมินผลด้านสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน (Institute for Health Metrics and Evaluation at the University of Washington School of Medicine) รายงานในการประชุม AAIC 2021 ว่า จำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าเป็นกว่า 152 ล้านคนภายในปี 2593 โดยคาดว่าความชุกของโรคจะเพิ่มขึ้นสูงสุดในภาคตะวันออกของภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารา แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง
"วิถีชีวิตของผู้ใหญ่ในประเทศพัฒนาแล้วและอีกหลายภูมิภาคที่ดีขึ้น เช่น การเข้าถึงการศึกษามากขึ้น และการใส่ใจปัญหาสุขภาพหัวใจมากขึ้น ช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แต่จำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมยังคงเพิ่มขึ้นเพราะประชากรสูงวัยขึ้น" คุณ Maria C. Carrillo, PhD ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ กล่าว "นอกจากนี้ โรคอ้วน โรคเบาหวาน และพฤติกรรมเนือยนิ่งในหมู่คนรุ่นใหม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม"
สถาบันสูงวัยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Institute on Aging) ประมาณการว่า ผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไปจะคิดเป็นสัดส่วน 16% ของประชากรโลกภายในปี 2593 เพิ่มขึ้นจาก 8% ในปี 2553
นอกจากนี้ ในการประชุม AAIC 2021 ยังมีการรายงานผลการศึกษาความชุกของโรค/อุบัติการณ์ของโรค อีกสองการศึกษา โดยผลการค้นพบสำคัญมีดังนี้
- ในแต่ละปี ประชากร 10 คน จากทุก 100,000 คน เป็นโรคสมองเสื่อมก่อนวัย (ก่อนอายุ 65 ปี) ซึ่งหมายความว่ามีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมก่อนวัยรายใหม่ราว 350,000 เคสต่อปีทั่วโลก
- ระหว่างปี 2542-2562 อัตราการเสียชีวิตจากโรคอัลไซเมอร์ในประชากรสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 16 คน เป็น 30 คน ต่อ 100,000 คน หรือพุ่งขึ้นถึง 88%
- ในสหรัฐอเมริกา พบอัตราการเสียชีวิตจากโรคอัลไซเมอร์สูงสุดในพื้นที่ชนบทของภูมิภาค East South-Central โดยอัตราการเสียชีวิตจากโรคอัลไซเมอร์อยู่ที่ 274 คน ต่อ 100,000 คน ในกลุ่มประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป
ความชุกของโรคสมองเสื่อมทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไปจนถึงปี 2593
เพื่อคาดการณ์ความชุกของโรคสมองเสื่อมทั่วโลกและประมาณการในระดับประเทศ คุณ Emma Nichols, MPH นักวิจัยจากสถาบันชี้วัดและประเมินผลด้านสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน และทีมงาน ได้ใช้ข้อมูลจากการศึกษาภาระโรคทั่วโลก หรือ Global Burden of Disease (GBD) ระหว่างปี 2542-2562 ซึ่งเป็นการคาดการณ์แนวโน้มสุขภาพอย่างครอบคลุมทั่วโลก และมีการปรับปรุงการคาดการณ์ในอดีตด้วยการรวมข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มปัจจัยเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมด้วย
คุณ Nichols และทีมงานค้นพบว่า โรคสมองเสื่อมจะเพิ่มขึ้นจากราว 57.4 (50.4 ถึง 65.1) ล้านเคสทั่วโลกในปี 2562 เป็นราว 152.8 (130.8 ถึง 175.6) ล้านเคสในปี 2593 โดยเพิ่มขึ้นมากที่สุดในภาคตะวันออกของภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารา แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ยังบ่งชี้ว่า เคสผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเพราะจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นและสูงวัยขึ้น แต่ความสำคัญเชิงสัมพัทธ์ของสองปัจจัยนี้แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาคทั่วโลก
นอกจากนี้ คุณ Nichols และทีมงานยังคาดการณ์ความชุกของโรคสมองเสื่อมอันเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ ดัชนีมวลกายสูง และระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยใช้ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้กับความชุกของโรคสมองเสื่อม โดยพบว่าผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 6.8 ล้านเคสทั่วโลกในระหว่างปี 2562-2593 อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ แต่ในทางตรงกันข้าม คณะนักวิจัยก็ค้นพบว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับการศึกษาจะทำให้ความชุกของโรคสมองเสื่อมลดลง 6.2 ล้านเคสทั่วโลกในระหว่างปี 2562-2593 ซึ่งแนวโน้มที่ตรงกันข้ามนี้เกือบหักล้างกันพอดี
"การคาดการณ์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายและผู้มีอำนาจตัดสินใจมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม รวมถึงปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในแต่ละภูมิภาค" คุณ Nichols กล่าว "จำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นของการวิจัยเพื่อคิดค้นวิธีการรักษาที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค (disease-modifying treatment) รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ใช้ต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อม"
คุณ Nichols และทีมงานเคยใช้ชุดข้อมูลในการคาดการณ์ว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นราว 38.0% ในระหว่างปี 2533-2562 และชุดข้อมูลดังกล่าวเพิ่งได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Alzheimer's & Dementia: The Journal of the Alzheimer's Association
"หากปราศจากการรักษาที่มีประสิทธิภาพเพื่อหยุด ชะลอ หรือป้องกันโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อม จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังผ่านพ้นปี 2593 ไปแล้ว ตลอดจนส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย ผู้ดูแล ระบบสาธารณสุข และรัฐบาลทั่วโลก" คุณ Carrillo กล่าว "นอกเหนือจากการรักษาโรคแล้ว เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากวิถีชีวิต เช่น การศึกษา การรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย"