ชาวกรุงเทพคริสเตียน (BCC) ร่วมใจจัดกิจกรรมช่วยสังคมต้านภัยโควิด ในโอกาสครบรอบการก่อตั้งโรงเรียน BCC 169 ปี รร.เอกชนแห่งแรกของไทย

เนื่องในวันที่ 30 กันยายน 2564 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (B.C.C.) โรงเรียนเอกชนชายแห่งแรกของประเทศไทย จะครบรอบการก่อตั้งโรงเรียน 169 ปี นายประพันธ์ ปุษยไพบูลย์ นายกสมาคมศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เปิดเผยว่า เนื่องในวันสำคัญของโรงเรียนอันเป็นที่รักยิ่งของทุกคน ในปีนี้ทางสมาคมศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ได้ร่วมกับ สมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย รวมทั้งคณะครูและนักเรียน ได้ร่วมกันจัดโครงการ "B.C.C. ครบรอบ 169 ปี ร่วมใจช่วยเหลือสังคม ต้านภัยโควิด" ในช่วง 30 กย. – 4 ธค.นี้ เพื่อมอบเงิน อาหารและสิ่งของทางการแพทย์ต่างๆ ให้แก่บุคคลากรทางการแพทย์สู้ภัยโควิด 19 ในโรงพยาบาลต่างๆ อาทิ รพ.ราชวิถี รพ.รามาธิบดี รพ.จุฬาลงกรณ์ เป็นต้น รวมทั้งการบริจาคเงินสมทบทุนมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ รพ.เทพรัตนเวชชานุกูล เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ และ รพ.ชุมชนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จำนวน 11 แห่ง ขอเชิญศิษย์เก่าทุกคนและผู้มีจิตศัทราร่วมบริจาคได้ที่ ธ.กรุงไทยฯ เลขที่บัญชี 660-9-55548-6 ชื่อบัญชี กิจกรรม B.C.C. ครบรอบ 169 ปี ร่วมใจช่วยเหลือสังคมต้านภัยโควิด จุดเริ่มต้นของ รร.เอกชนต้นแบบแห่งแรกของไทย
ถ้าจะกล่าวถึงจุดเริ่มต้นระบบการศึกษาไทยหรือสยาม ต้องขอย้อนไปในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งมีแต่เด็กผู้ชายเท่านั้นที่ได้รับโอกาสเรียนหนังสือที่วัด แม้ผู้นำบ้านเมืองเริ่มสนใจจะจัดให้มีโรงเรียนเหมือนประเทศที่เจริญแล้วแต่ก็ไม่รู้จะดำเนินการอย่างไรเพราะสมัยนั้นไม่มีใครรู้เรื่องการจัดการศึกษาสมัยใหม่ กระทั่ง ค.ศ. 1847 ในปลายรัชการที่ 3 มิชชันนารีชาวอเมริกัน คณะเพรสไบทีเรียน คือศาสนาจารย์ นพ.ซามูเอล เรโนลด์เฮ้าส์ ศาสนาจารย์สตีเฟน แมคตูน และภรรยาเดินทางเข้ามาในประเทศสยาม เพื่อประกาศเรื่องราวความรักของพระเยซูคริสต์ และยังนำวิทยาการใหม่ๆมาด้วยแม้การเดินทางเต็มด้วยความยากลำบากและใช้เวลาถึง 8 เดือน เริ่มแรกท่านมาอาศัยอยู่ที่กุฎีจีนร่วมกับมิชชันนารีคณะอื่นบริเวณปากคลองบางหลวง ต่อมา ค.ศ.1849 จึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้เช่าที่ดินบริเวณใกล้วัดอรุณราชวรารามที่เรียกว่า “กุฎีจีน” น.พ.เฮ้าส์และศาสนาจารย์แมตตูนได้จัดตั้งโรงเรียนประจำสำหรับเด็กผู้ชาย เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ.1852 สอนเป็นภาษาจีน ซินแสกีเอ็ง เป็นครูใหญ่ ระยะแรกต้องให้ค่าจ้างเด็กมาเรียนวันละ 1 เฟื้อง 
ด้วยความมุ่งมั่นอดทนและความสามารถในทางวิทยาการใหม่ๆ บรรดามิชชั่นนารีจึงได้รับการยอมรับและการสนับสนุนงานทั้งจากชาวบ้าน พระราชวงศ์และข้าราชการรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเจ้านาย 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าใหญ่ ซึ่งต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าฟ้าน้อย ซึ่งต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนมีความตั้งใจจะหาที่ทำการเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้มิชชันนารีอเมริกันที่กุฎฎีจีนซึ่งเป็นชนต่างชาติซื้อที่ดินในประเทศไทยเป็นกรรมสิทธิ์ได้ ใน ค.ศ.1857 จึงได้ซื้อที่ดินและย้ายที่ทำการ รวมทั้งโรงเรียนไปที่สำเหร่ โดยใช้ชื่อใหม่ว่า “โรงเรียนสำเหร่บอยส์สกูล”
ต่อมาเปลี่ยนการสอนเป็นภาษาไทย วิชาที่เปิดสอนมีปรัชญา เลขคณิต ภูมิศาสตร์ การแต่งความ และดาราศาสตร์ ช่วงเวลามีหลายคนสมัครเรียนภาษาอังกฤษกับมิสซิสแมตตูน มาถึงสมัย ศาสนาจารย์ จอห์น เอ.เอกิ้น โรงเรียนเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนสำเหร่บอยส์คริสเตียนไฮสกูล” เป็นโรงเรียนแบบตะวันตกแห่งแรกในประเทศไทย มีหลักสูตรชัดเจนว่าสอนวิชาอะไรบ้าง มีกำหนดวันเวลาเรียนเป็นตารางสอน และมีระบบการจัดการโรงเรียน จึงแตกต่างจากการศึกษาของไทยที่มีอยู่แต่เดิมซึ่งจัดในวัด วัง หรือบ้าน โรงเรียนคริสเตียนบอยสกูล ดำเนินงานมาด้วยดี และเริ่มพบว่าถึงเวลาที่ต้องขยายกิจการให้กว้างขวางขึ้น ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ ศาสนาจารย์ จอห์น เอ.เอกิ้น จึงพยายามหาที่ดินแห่งใหม่ในทำเลที่เหมาะสมกับการขยายโรงเรียนในอนาคต ค.ศ.1900 มีการติดต่อขอซื้อที่ดินบริเวณถนนประมวญ สีลม เจ้าของที่ดินคือ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของศาสนาจารย์จอห์น เอ.เอกิ้น ในราคา 17,000 บาท โดยได้รับความช่วยเหลือจากพระยาสารสิน ศิษย์เก่าของโรงเรียนสำเหร่ในการติดต่อซื้อที่ดินดังกล่าว ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ 20 ชั่ง (ประมาณ 1,600 บาท) รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีกหลายท่าน รวมทั้งเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีบริจาคให้ 2,500 บาท นอกจากนี้ยังได้รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาในประเทศสหรัฐอเมริกาอีก 10,000 เหรียญ ค.ศ.1902 จึงได้ย้ายโรงเรียนมาที่ถนนประมวญ ใช้ชื่อ “โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย’’ในที่สุด นับเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่ใช้ระบบการเรียนการสอนแบบสากล พัฒนานักเรียนตามแบบพระเยซูคริสต์ ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ ในปี ค.ศ. 1913 คณะกรรมการของคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียนที่สหรัฐอเมริกา มีมติให้ยกระดับของโรงเรียนไฮสกูล ( High School ) ขึ้นเป็นคอลเลจ (College) ชื่อโรงเรียนจึงได้รับการเปลี่ยนเป็น “กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย” (Bangkok Christian College ) และใช้อักษรย่อว่า BCC ต่อมาในปี ค.ศ. 1920 โรงเรียนได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการให้มีวิทยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล 
เมื่อ ค.ศ.1936 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ครั้งทรงยศเป็น พระราชชนนีศรีสังวาลย์ ได้ทรงพระราชทานเงิน 3,000 บาทให้โรงเรียนเพื่อใช้ปรับปรุงยกระดับสนามฟุตบอลโรงเรียนให้สูงขึ้น นอกจากนี้ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้ทรงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ให้แก่มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนส่งครูชาวต่างประเทศมาสอนในประเทศไทยที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย คืออาจารย์เฮนรี่ เอช.บูเกอร์
ในวันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคาร จอห์น เอ. เอกิ้น ทรงเยี่ยมชมหอประวัติศาสตร์ ยังความปลื้มปีติแก่ชาวบีซีซีเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี ค.ศ.1852 จนถึงปัจจุบัน โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนให้สมฐานะของโรงเรียนเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย ที่จัดการศึกษาตามระบบนานาอารยประเทศ มุ่งรักษาภาพลักษณ์ของความเป็นโรงเรียนเอกชนที่มีคุณภาพทางวิชาการชั้นแนวหน้า ส่งเสริมคุณภาพทางกิจกรรมด้านกีฬา ดนตรี และได้สร้างทัศนคติที่ดีและสภาพแวดล้อมที่มีความสุขตลอดมา [/size]