- การศึกษาทดลองบรรลุผลลัพธ์หลักในการขยายระยะเวลาการมีชีวิตอยู่โดยโรคสงบ (PFS) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและมีความหมายเชิงคลินิก จากการใช้ยาเป็นการรักษาเดียว เทียบกับการรักษาด้วยฮอร์โมนเป็นการดูแลรักษาตามมาตรฐาน (SoC) ในกลุ่มประชากรโดยรวมและประชากรกลุ่มที่มีการกลายพันธุ์ของตัวรับเอสโตรเจน (mESR1)
- ในกลุ่มประชากรโดยรวม ยา elacestrant ลดความเสี่ยงของการลุกลามของโรคหรือการเสียชีวิตได้ 30% เมื่อเทียบกับการรักษาแบบดูแลรักษาตามมาตรฐาน
- ในกลุ่มประชากรที่มีการกลายพันธุ์ mESR1 ยา elacestrant ลดความเสี่ยงของการลุกลามของโรคหรือการเสียชีวิตได้ 45% เมื่อเทียบกับการรักษาแบบดูแลรักษาตามมาตรฐาน
- อัตราการมีชีวิตอยู่โดยโรคสงบนาน 12 เดือนด้วยการรักษาโดยใช้ยา elacestrant อยู่ที่ 22.32% เทียบกับ 9.42% ในการรักษาแบบดูแลรักษาตามมาตรฐานในกลุ่มประชากรโดยรวม และ 26.76% เทียบกับ 8.19% ในกลุ่มประชากรที่มีการกลายพันธุ์ mESR1
- เมื่อเทียบกับยา fulvestrant แล้ว ยา elacestrant แสดงการเพิ่มระยะเวลาการมีชีวิตอยู่โดยโรคสงบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและลดความเสี่ยงของการลุกลามของโรคหรือการเสียชีวิตได้ 32% ในกลุ่มประชากรโดยรวมและ 50% ในกลุ่มประชากรที่มีการกลายพันธุ์ mESR1
- ด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ ยา elacestrant กลายเป็นยา SERD แบบให้ทางปากตัวแรกที่แสดงประสิทธิศักย์ที่สูงกว่ายา fulvestrant ในการศึกษาทดลองที่มีความสำคัญ
- ยา elacestrant มีการทนต่อผลข้างเคียงได้ดีและสามารถเป็นการดูแลรักษาตามมาตรฐานในประชากรผู้ป่วยกลุ่มนี้
Menarini Group ("Menarini") และ Radius Health, Inc. ("Radius") (NASDAQ: RDUS) (เรียกรวมกันว่า "สองบริษัท") ได้ให้รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับยา elacestrant จากการโครงการศึกษาทดลอง EMERALD หลังจากทราบผลลัพธ์เชิงบวกที่ได้นำเสนอในวันนี้ในงาน San Antonio Breast Cancer Symposium (SABCS) ข้อมูลดังกล่าวได้รับการนำเสนอว่าเป็น "Late Breaker" และมีการกล่าวนำเสนอโดย ดร.นพ. Aditya Bardia
การศึกษาทดลอง EMERALD (NCT03778931) การศึกษาทดลองระยะที่ 3 แบบพหุสถาบันระดับระหว่างประเทศ แบบสุ่ม ที่มีการให้ยาแบบเปิด (open-label) และมีการควบคุม ได้ประเมินการใช้ยา elacestrant เป็นการรักษาเดียวเมื่อเทียบกับการดูแลรักษาตามมาตรฐานสำหรับการรักษา ER+/HER2- ระยะปลายหรือระยะแพร่กระจาย (mBC) การศึกษาทดลองนี้รับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมน (ET) มาก่อน 1 หรือ 2 ไลน์ การลุกลามของโรคที่เคยเกิดขึ้นในตัวยับยั้ง ET plus CDK4/6 เป็นข้อกำหนดสำหรับผู้ป่วยทุกราย และอนุญาตให้มีการรักษาด้วยคีโมบำบัดสูงสุด 1 ไลน์
โครงการ EMERALD นี้บรรลุเป้าหมายหลักสองประการ ได้แก่ การมีชีวิตอยู่โดยโรคสงบในกลุ่มประชากรทั่วไป และการมีชีวิตอยู่โดยโรคสงบในกลุ่มผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของ Estrogen Receptor 1 ที่ก่อให้เกิดเนื้องอก
ดร.นพ. Aditya Bardia แพทย์ด้านมะเร็งเต้านมจาก Mass General Cancer Center ของ Harvard Medical School และผู้วิจัยหลักของโครงการ EMERALD กล่าวว่า "ในปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะปลายหรือระยะแพร่กระจายมีทางเลือกการรักษาจำกัด เนื่องจากเกิดอาการดื้อยาต่อการรักษาด้วยฮอร์โมนจากการรักษาที่เคยได้รับก่อนหน้า" ดร. Bardia อธิบายเพิ่มเติมว่า "ยา elacestrant เป็นยา SERD แบบให้ทางปากตัวแรก มีศักยภาพในการเป็นการดูแลรักษาตามมาตรฐานแบบใหม่จากสมรรถนะของยา เมื่อเทียบกับ fulvestrant ที่ให้เข้าชั้นกล้ามเนื้อและการดูแลรักษาตามมาตรฐานในกลุ่มประชากรโดยรวมและในกลุ่มย่อยของผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ ESR1 ในแง่นี้ การใช้ยา elacestrant เป็นการรักษาเดียวจะทำให้ผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ให้บริการด้านสุขภาพมีทางเลือกในการรักษาที่มีประสิทธิผลและปลอดภัยต่อไปในอนาคต"
Elcin Barker Ergun ซีอีโอ Menarini Group กล่าวว่า "เรายินดีอย่างยิ่งกับผลลัพธ์ของโครงการศึกษาทดลอง EMERALD ข้อมูลที่ได้บ่งชี้ว่ายา elacestrant สามารถเป็นตัวเลือกยาให้ทางปากที่มีการทนต่อผลข้างเคียงได้ดีและมีประสิทธิผล เมื่อเทียบกับยา fulvestrant และการดูแลรักษาตามมาตรฐานในไลน์การรักษา 2/3 สำหรับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมระยะปลายหรือระยะแพร่กระจาย รวมถึงผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ ESR1 ที่ก่อให้เกิดเนื้องอก ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมที่รักษาได้ยากที่สุดกลุ่มหนึ่ง เราตั้งใจจะดำเนินการขอใบอนุญาตในสหรัฐและสหภาพยุโรปในปี 2565 หากมีผลลัพธ์ด้านความปลอดภัยและประสิทธิศักย์ในเชิงบวก และต้องขอขอบคุณผู้ป่วยทุกท่าน ครอบครัว และผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่ได้เข้าร่วมในการศึกษาทดลองทางคลินิกครั้งสำคัญนี้"
Menarini วางแผนว่าจะดำเนินการศึกษาส่วนผสมและริเริ่มกิจกรรมในไลน์การรักษาใหม่ อย่างเช่น ในการรักษาเสริม (adjuvant) ทำให้ยา elacestrant สามารถใช้ประโยชน์ได้ในการตอบสนองความต้องการที่ไม่ได้รับการจัดการในผู้ป่วย ER+/HER2 โดยก่อนหน้านี้ในปี 2561 ยา elacestrant ได้รับการอนุมัติยาแบบเร่งด่วนจาก FDA