ภาพวาดสีน้ำจากปลายพู่กันของ แนท–ดร. ณัฐธิดา ภู่จีบ โฮโรสคาร์ฟ ถูกพิมพ์ลงบนผืนผ้า แต่งเติมเพิ่มมนตร์สะกด เปลี่ยนให้ผ้าสีขาวสะอาดจากโรงงานธรรมดา เป็นเครื่องรางที่สามารถพกพาติดตัวไปได้ทุกที่ จากลายนักษัตรตามปีเกิดที่สวยงามเกินจะบรรยาย
ด้วยความรักและความเชื่อในดวง จึงทำให้แนทผู้มีฝีมือด้านการวาดรูปเป็นทุนเดิมอยู่แล้วริเริ่มทำผ้าพันคอลายปีนักษัตร ที่เริ่มต้นจากการทำแจกให้กับคนรอบข้างและทำขายเพียงไม่กี่ชิ้น จนถึงวันนี้ได้เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไทยที่เข้ามาขายใน คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี โชว์งานศิลปะจากปลายพู่กันจนสามารถเอาชนะใจทั้งคนไทยและต่างชาติได้
“เรารู้สึกว่าศิลปะทำให้คนเป็นคนที่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์”
แนท-ดร. ณัฐธิดา ภู่จีบ เจ้าของแบรนด์ Horoscarf
ถึงวันนี้แนทไม่เพียงเป็นอาจารย์สอนศิลปะ คณะศิลปกรรมศาสตร์ ในรั้วมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเพียงอย่างเดียว หากแต่มีแบรนด์ผ้าพันคอ Horoscarf เป็นอีกหนึ่งตัวตนที่สะท้อนความคิด ความรักในงานศิลปะและหลักโหราศาสตร์ด้วย ซึ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นมาได้ด้วยความตั้งใจและรักจริง
“เราเป็นคนชอบแอปพลายอาร์ต ชอบพวกครีเอทีฟอาร์ต ไม่ได้ชอบงานที่อยู่บนกระดาษ แต่ชอบงานอาร์ตที่เอามาลงโปรดักต์ต่างๆ อยู่แล้ว มันก็เลยต่อยอดได้ไม่ยาก”
การเป็นครูศิลปะกับงานราชการที่ไปกันไม่ได้
ก่อนหน้าที่แนทจะได้เข้ามาเป็นครูสอนศิลปะย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็กนักเรียนชั้นม.5 เธอรู้ตัวตั้งแต่นั้นว่าอยากลงเรียนทางด้านนี้ท่ามกลางความคาดหวังของพ่อแม่ที่ทำงานราชการสุดท้ายเธอเลือกลงเรียนปริญญาตรีในสาขาวิชาศิลปศึกษา (Art Education) คณะครุศาสตร์เป็นนิสิตในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามความคาดหวังของครอบครัว “คุณพ่อคุณแม่รับราชการเขาก็อยากให้เราเป็นหมอแต่เรารู้ตัวตั้งแต่ม.5 ว่าเราอยากเรียนศิลปะแต่ไม่ได้คิดว่าอยากเป็นครูนะพอเรียนครูไปเราก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับการเรียนครู”
หลังจากจบมาแนทก็เริ่มต้นเป็นครูสอนศิลปะในโรงเรียนแห่งหนึ่งประกอบกับเรียนปริญญาโทด้านบริหารไปพร้อมกัน “แนทจบปริญญาโทด้านบริหารจุฬาฯก็เลยมีแนวคิดด้านการทำธุรกิจมาจากตอนนั้นแล้วก็กลับมาเรียนปริญญาเอกศิลปศึกษาที่จุฬาฯอีกทีหนึ่ง” แต่หลังจากเรียนจบและกลับมาเป็นครูราชการในโรงเรียนได้เพียงสี่เดือนก็ตัดสินใจลาออกและใช้ทุนไปกว่าสองล้านบาทด้วยระบบที่ไม่เอื้อกับคนทำงานสายศิลปะ
“ระบบมันบังคับให้เราไม่สามารถครีเอทการสอนเองได้ การสอนในโรงเรียนมันมีเวลาสอนน้อย เราอาจเรียนคณิตศาสตร์สามชั่วโมง แต่เราได้เรียนศิลปะแค่ชั่วโมงเดียว เราไม่สามารถป้อนสิ่งดีๆ ให้กับลูกศิษย์ได้ เพราะไม่มีเวลาพอ” แม้ว่าการลาออกจากราชการจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของครอบครัว แต่สุดท้ายครอบครัวก็ยอมรับและเข้าใจในการตัดสินใจนั้น พร้อมทั้งผลักดันให้เธอทำในสิ่งที่รัก “ข้าราชการมันมีข้อดีตรงสวัสดิการรักษาพยาบาล แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะเกิดมาเพื่อป่วย เราก็แค่อยากมีความสุขในทุกๆ วัน” ตอนนี้แนทจึงเป็นทั้งอาจารย์ให้ความรู้แก่ศิษย์ และเจ้าของแบรนด์ผ้าพันคอที่สะท้อนความชอบและความหลงใหลของตัวเองไว้จนหมด ทั้งหมดนี้เธอทำได้ในอายุเพียงแค่ 35 ปีเท่านั้น