ถอดรหัสวิธีเด็ด เคล็ดลดความอ้วน สูตรสำเร็จ จาก ยันฮี
ผ่านพ้นช่วงเวลาปีใหม่มาร่วมเดือน ปณิธาน "ลดความอ้วน" ที่เคยเอ่ยคำมั่นไว้ คืบหน้าถึงไหนแล้ว?
"อะไร? คือสาเหตุ ที่ทำให้เราลดความอ้วนไปไม่ถึงไหนกันแน่นะ""ปัญหาน้ำหนักตัวเกิน" เรื่องหนักทั้งตัว หนักทั้งใจ สุขภาพกาย/สุขภาพใจ อาจมีที่มาจากหลายสาเหตุ อาทิ เผลอจัดเต็มกับการกินในทุกมื้อ หรือต้องปั่นงานกองพะเนินจนลืมออกกำลังกาย ตลอดจนการ "ลดความอ้วนแบบผิดวิธี" เช่น การลดปริมาณอาหาร การงดมื้อเย็น ซึ่งมีข้อเสียมากมายที่ถูกมองข้าม คือเมื่อร่างกายรับปริมาณอาหารแต่ละมื้อไม่เท่ากัน จะส่งผลให้ฮอร์โมนความหิวและความอิ่มเกิดความไม่สมดุลตามมา จนสมองต้องสั่งการให้หาของหวานมาเติมเต็ม ทำให้ระบบเผาผลาญผิดเพี้ยน ร่างกายจึงอ้วนตามกันมา
นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุจากกลุ่มโรคบางชนิด ก็เป็นอุปสรรคใหญ่ขวางให้ผู้ป่วยลดความอ้วนยากกว่าคนปกติเท่าตัว ไม่ว่าจะกลุ่มที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน รวมถึงผู้ป่วยในกลุ่มโรคบางชนิดที่มีภาวะอ้วนร่วม อย่างไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ไทรอยด์ต่ำจากฮอร์โมน หรือผู้ป่วยหญิงที่มีถุงน้ำในรังไข่จากภาวะรังไข่ตกไม่สมบูรณ์ ก็นับเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักตัวพุ่งสูงโดยที่เราไม่เต็มใจเช่นกัน และทางลัดสู่การมี "รูปร่างและสุขภาพที่ดีแบบยั่งยืน" ที่ดีที่สุดคือการเข้ารับการรักษาอย่างตรงจุด พร้อมการได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด บทความนี้จะเผยความลับ "การลดความอ้วนแบบองค์รวม" เคล็ดวิชาเด็ดคัมภีร์ดัง โดย ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการลดน้ำหนักจาก โรงพยาบาลยันฮี
"ลดความอ้วนแบบองค์รวม" วิธีการรักษาแบบหมอ "ยันฮี"เป็นที่รู้กันว่าถ้าเอ่ยถึงการลดความอ้วน ไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีแบบไหน มักต้องเริ่มด้วยการสำรวจค่า BMI หรือ การหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) "สำหรับแพทย์ จุดตั้งต้นของการลดน้ำหนักจะขึ้นกับค่า BMI"
แพทย์หญิงกัลยาณี พรโกเมธกุล แพทย์ผู้ชำนาญการ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลยันฮี กล่าว "การรักษาของโรงพยาบาลฯ จะเริ่มขึ้นเมื่อเราประเมินครอบคลุมถึงสาเหตุว่า มีโรคร่วมอะไรบ้าง เป็นเบาหวานไหม รวมถึงเช็คระดับความรุนแรงที่แยกย่อยได้จากค่าดัชนีมวลกาย เมื่อเรารู้ระดับความอ้วนของคนไข้ โปรแกรมจึงจะเริ่มต้นขึ้นตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล"
แพทย์หญิงกัลยาณี แนะนำต่อไปอีกว่า "โปรแกรมของการดูแลแบบองค์รวม จะไม่ได้มีแต่แพทย์ดูแลคนไข้แบบ 1:1 เท่านั้น เพราะโปรแกรมนี้จะถูกแจกจ่ายให้ทีมสุขภาพทำงานร่วมกัน โดยมีตัวหลักคือ
คุณหมอประจำตัวคนไข้ ต่อด้วย
นักโภชนาการ จัดการเรื่อง Food Diary ตารางอาหารการกินที่เหมาะกับคนไข้ ทั้งหัวข้อการคุมอาหารและจำนวนแคลอรี่ ตามด้วย
ทีมเวชศาสตร์การกีฬาหรือคุณหมอคาร์ดิโอ Fat Burn ให้คำปรึกษาเรื่องการออกกำลังกาย และรวมถึงการดูแลในกรณีคนไข้มีโรคร่วม เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โดย
คุณหมออายุรกรรมเฉพาะทาง หรือหากมีประเด็น Psycho-Social (ภาวะทางจิตใจ)เข้ามาเป็นตัวแปร ก็จะมี
ทีมจิตแพทย์ เข้าร่วมในโปรแกรมการรักษาด้วยเช่นกัน โดยจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่ทำให้การดูแลแบบองค์รวม ครบ จบ แบบสมบูรณ์คือ
3 วิธีเด็ด เคล็ดวิชาเฉพาะของโรงพยาบาลยันฮี ที่เน้นประสิทธิภาพและความปลอดภัยตลอดกระบวนการ ดังนี้
วิธีแรก คือการใช้ "ฮอร์โมนควบคุมความหิว" โดยเลียนแบบฮอร์โมนคุมหิว อิ่มนาน : ตัว "ฮอร์โมนควบคุมความหิว" ชื่อทางการคือ ตัวยา
"ลิรากลูไทด์" (Liraglutide) สารชนิดนี้คือเปปไทด์โปรตีนที่ออกฤทธิ์ไม่ต่างจาก GLP-1 ฮอร์โมนที่ปล่อยจากลำไส้เล็กมนุษย์ ช่วยส่งสัญญาณให้สมองรับรู้ถึงขีดจำกัดความอิ่ม โดยตัวยา
"ลิรากลูไทด์" (Liraglutide) นี้ จะมีลักษณะเป็นแท่งยาฉีดที่มีเข็มอยู่ปลาย ใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง และด้านหน้าของต้นขาหรือต้นแขน ซึ่งการใช้งานก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และเจ้าฮอร์โมนนี้จะใช้กับผู้มีภาวะโรคอ้วนที่ BMI มากกว่าเลข 27 ขึ้นไปที่มีโรคร่วม หรือ BMI > 30 โดยการฉีดฮอร์โมนคุมหิว 1 ครั้ง จะอยู่ได้นานราว ๆ 12-24 ชั่วโมง
ผลลัพธ์คือ การส่งสัญญาณให้เรารู้สึกอิ่มนาน หิวน้อยลง ลดทานจุกจิก ช่วยลดการผลิตน้ำตาลที่ตับ และไปเพิ่มความไวของอินซูลินบริเวณตับอ่อนและกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันได้ดีขึ้น
คุณหมอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "ฮอร์โมนนี้จะช่วยให้คนไข้เซทปริมาณอาหารทุกมื้อเป็นรูทีน สร้างความคุ้นชินให้สมองรับรู้ถึงปริมาณอาหารที่เพียงพอให้รู้สึกอิ่ม ซึ่งถึงวันหนึ่งที่คนไข้ไม่ใช้ยา สมองกับกระเพาะก็จะเปิดรับปริมาณอาหารน้อยลง ส่งผลในการลดน้ำหนักอย่างมีคุณภาพ"