การฉีดกระตุ้นแบบยี่ห้อเดียวกันโดยใช้วัคซีนโควิด-19 ของโนวาแวกซ์ ให้ระดับแอนติบอดีไตเตอร์ที่แข็งแกร่งต่อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1, BA.2 และ BA.5
การวิจัยโครงการ Study 307 (Lot Consistency) บรรลุผลลัพธ์หลัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า วัคซีนทั้งสามล็อตให้การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในระดับที่เทียบเคียงกันได้ เท่ากับว่ากระบวนการผลิตมีความสม่ำเสมอ
พบการตอบสนองภูมิคุ้มกันที่ออกฤทธิ์นานหลังฉีดครบโดสพื้นฐานและหลังฉีดกระตุ้น ซึ่งเทียบได้กับระดับที่มีความเชื่อมโยงกับการป้องกัน
โนวาแวกซ์ อิงค์ (Novavax, Inc.) (Nasdaq: NVAX) บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพผู้พัฒนาและจำหน่ายวัคซีนรุ่นใหม่สำหรับโรคติดเชื้อรุนแรง ประกาศนำเสนอข้อมูลจากการวิจัยโครงการ PREVENT-19 เฟส 3 และโครงการ Study 307 (Lot Consistency) ที่การประชุมวัคซีนโลกแห่งยุโรป (World Vaccine Congress Europe) ประจำปี 2565 โดยข้อมูลจากโครงการ PREVENT-19 ในอาสาสมัครวัยผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และวัยรุ่นอายุ 12-17 ปีพบว่า วัคซีนโควิด-19 ของโนวาแวกซ์ (NVX-CoV2373) บรรลุผลลัพธ์ด้านภูมิคุ้มกันที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว ขณะที่โครงการ Study 307 (Lot Consistency) ก็บรรลุผลลัพธ์หลักด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า วัคซีนโควิด-19 ของโนวาแวกซ์ทั้งสามล็อตที่นำไปใช้ฉีดกระตุ้นแบบสลับยี่ห้อ (heterologous) นั้น ให้การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่สม่ำเสมอในผู้ใหญ่อายุ 18-49 ปีที่ได้รับวัคซีนมาก่อนแล้ว
"ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่สม่ำเสมอและความปลอดภัยในการนำวัคซีนโควิด-19 ของโนวาแวกซ์ไปฉีดกระตุ้น ไม่ว่าจะมีประวัติฉีดวัคซีนใดมาก่อน" นายแพทย์เกรกอรี เอ็ม เกล็นน์ (Gregory M. Glenn) ประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนาของโนวาแวกซ์ กล่าว "ข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ได้ว่า วัคซีนของเราอาจมีประสิทธิภาพกับสายพันธุ์ต่าง ๆ เช่น โอมิครอน เรากำลังดำเนินการทดลองเพื่อศึกษาศักยภาพวัคซีนโควิด-19 ของโนวาแวกซ์เพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นเข็มกระตุ้นกับสายพันธุ์เหล่านี้ รวมถึง BA.4/5 และหวังที่จะแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ด้วย"
การฉีดกระตุ้นแบบยี่ห้อเดียวกันกับผู้ใหญ่และวัยรุ่นในโครงการ PREVENT-19
ในการทดลองโครงการ PREVENT-19 นั้น ได้มีการฉีดเข็มกระตุ้นโดยใช้ยี่ห้อเดียวกันกับอาสาสมัครวัยผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไปบางราย ห่างจากโดสพื้นฐานประมาณ 8 หรือ 11 เดือน และหลังฉีดกระตุ้นไปแล้ว ระดับอิมมูโนโกลบูลินจี (IgG ซึ่งเป็นแอนติบอดีชนิดหนึ่ง) ต้านทานโปรตีนหนาม (anti-S) ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง 2 (SARS-CoV-2) ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับก่อนฉีดกระตุ้น เพิ่มขึ้นเหนือระดับที่สัมพันธ์กับประสิทธิภาพป้องกันที่ 95% ในการวิจัย USG เมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่ระดับแอนติบอดีลบล้างต่อสายพันธุ์ต้นแบบก็เพิ่มขึ้นถึง 34-27 เท่าตัวเมื่อเทียบกับก่อนกระตุ้น เมื่อฉีดกระตุ้นที่ 8 หรือ 11 เดือน นอกจากนี้ การฉีดกระตุ้นยังเพิ่มระดับแอนติบอดียับยั้งตัวรับ human angiotensin converting enzyme 2 (hACE2) และ IgG ต่อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1, BA.2 และ BA.5 ในระดับที่เทียบเคียงได้กับที่พบในการศึกษาประสิทธิภาพเฟส 3
ส่วนในกลุ่มเด็กที่เพิ่มเข้ามาในโครงการ PREVENT-19 ซึ่งประเมินประสิทธิภาพเมื่อฉีดกระตุ้นกับวัยรุ่นอายุ 12-17 ปี ได้ประเมินประสิทธิภาพของการฉีดกระตุ้นโดยใช้ยี่ห้อเดียวกัน โดยดูจาก anti-S IgG, การยับยั้งตัวรับ hACE2 และการตอบสนองของแอนติบอดีลบล้าง ซึ่งเมื่อฉีดกระตุ้นแล้ว ค่าไตเตอร์ลบล้างก็เพิ่มขึ้น 2.7 เท่าตัวเมื่อเทียบกับผู้ที่ฉีดโดสพื้นฐาน ขณะที่แอนติบอดีต่อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1, BA.2 และ BA.5 ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
ทั้งในกลุ่มผู้ใหญ่และวัยรุ่น การฉีดวัคซีนโควิด-19 ของโนวาแวกซ์เป็นเข็มที่สามนั้นลดระยะห่างทางแอนติเจนระหว่างสายพันธุ์ SARS-CoV-2 กับไวรัสสายพันธุ์ต้นแบบ บ่งชี้สรรพคุณในการป้องกันโรคโควิด-19 ต่อสายพันธุ์ใหม่ ๆ เช่น โอมิครอน นอกจากนี้ ผลการศึกษาทั้งในกลุ่มผู้ใหญ่และวัยรุ่นพบว่า อาสาสมัครทนต่อเข็มกระตุ้นได้ดี โดยมีผลไม่พึงประสงค์สามัญแต่คาดได้ของวัคซีนในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และปรากฏให้เห็นไม่นาน
อ่านข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับเต็มได้ที่ https://www.thaipr.net/general/3252791