หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: สาวบริสุทธิกับสาวไม่บริสุทธิต่างกันยังไง  (อ่าน 106456 ครั้ง)
Guest
kuku
เรทกระทู้
« ตอบ #360 เมื่อ: 12 มี.ค. 10, 16:05 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 

บางทีผู้หญิงเที่ยวกลางคืนบางคน บริสุท ก็มีน่ะ(แบบว่าเที่ยวสนุกแต่รู้ทันคน ชอบหลอกกินตังพวกหน้าม่อ)

จริงๆมันก็อยู่ที่ๆเราไปหา หาที่ๆดี ก็เจอคนซิงๆเยอะ หาที่แย่ๆ ก็เจอคนซิงๆน้อย

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #361 เมื่อ: 17 มี.ค. 10, 10:46 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น ตอน...

วันพิพากษา


ท่ามกลางกระแสความร้อนของอากาศและการเมืองไทย
หลังการพิพากษาตัดสินยึดทรัพย์ก้อนใหญ่
ก็ยังมีเหตุการณ์ป่วนเมืองและการระดมมวลชนเพื่อต่อสู้กันทางการเมือง
สร้างความหวาดระแวงและส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ การท่องเที่ยว
เศรษฐกิจ ฯลฯ นานวันยิ่งดูเหมือนจะหาทางออกยากมากขึ้น

ยังมีการพิพากษาที่ยิ่งใหญ่กว่านี้หลายเท่า นั่นคือ
การพิพากษาครั้งสุดท้าย ที่พระเจ้าองค์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงเป็นผู้พิพากษา
และทรงมีคำพิพากษาที่เด็ดขาดไม่อาจจะโต้แย้ง หรืออุทธรณ์ใดๆได้อีก
ทั้งก่อนและหลังการพิพากษา เหตุการณ์ที่ตามมาจะอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจ
และเป็นไปตามคำตัดสินทุกประการ

เหตุการณ์วันพิพากษาจะเกิดขึ้นเมื่อใด ไม่มีใครทราบ
นอกจากพระบิดาเท่านั้น แต่อะไรจะเกิดขึ้น ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
พอจะทราบได้จากหลักฐานในพระคัมภีร์ โดยมาตรฐานการพิพากษา คือ
หากผู้ใดเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูจะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ (ยน. 3:18)
พระบิดามอบหน้าที่ผู้พิพากษาแก่พระบุตร
และการพิพากษาเป็นด้วยความยุติธรรม (ยน. 5:22- 30)
ส่วนกระบวนการพิพากษาอาจมีหลายขั้นตอน เช่น
การพิพากษาประชาติเพื่อแยกผู้เชื่อออกจากผู้ไม่เชื่อ (มธ.25.31-46)
การพิพากษาผู้เชื่อเพื่อให้ประทานบำเหน็จรางวัล
(มธ.25.14-30,1คร.3.11-16)
และการพิพากษาสุดท้ายที่พระที่นั่งสีขาวเพื่อนำผู้ไม่เชื่อสู่นรกนิรันดร์
(วว.20.11-15)

แม้ว่าจะมีความเชื่อเกี่ยวกับการพิพากษาหลายทัศนะทั้งแบบครั้งเดียวและหลายครั้ง
แต่สิ่งที่เชื่อเหมือนกันอย่างไม่ต้องสงสัยคือ จะมีการพิพากษาแน่นอน
โดยทุกคนจะต้องให้การของตนต่อพระเยซูผู้พิพากษา (รม3.19)
ผู้ใดไม่กลับใจจะถูกพิพากษาให้รับโทษในบึงไฟนรกนิรันดร์ตามระดับความผิด
(วว.20.12,รม.2.5-7)
ส่วนผู้เชื่อจะถูกพิพากษาแต่เพื่อประทานบำเหน็จตามการกระทำ (2คร.5.10
,วว.11.18) ทั้งซาตานและสมุนของมันก็จะถูกทิ้งลงในบึงไฟนรก (2ปต.4,ยด.6)
โดยพระเจ้าให้ผู้เชื่อเป็นผู้ช่วยในการพิพากษา(1คร.6.2-3
,วว.20.4)ร่วมกับอัครสาวก 12 คนและคนอิสราเอล 12 เผ่าด้วย
(มธ.19.28,ลก22.30)

พระสัญญาของพระเจ้าสำหรับผู้เชื่อนั้นยังมั่นคงเสมอคือ
จะได้อยู่ในเมืองบรมสุขเกษมและเข้าในแผ่นดินสวรรค์
ร่วมครอบครองกับพระเจ้าตลอดไป เวลานั้นจะเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า
และ... "พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา
ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้
และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว"
(วว.21.4)



ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้นปลายทางของเขาคือความพินาศนิรันดร์
หากนึกถึงภาพความทนทุกข์ทรมานของผู้คนที่ต้องถูกพิพากษาให้ตกลงในบึงไฟนรก
ซึ่ง ณ ที่นั่นมีแต่การร้องไห้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เป็นบึงไฟกำมะถันไม่รู้ดับ ตัวหนอนยังยั่วเยี้ย
เป็นความทุกข์ทรมานแบบนิรันดร์ ชนิดที่ว่าอยากตายแต่ตายไม่ได้
อยากหนีแต่หนีไม่พ้น ทั้งๆที่พระเจ้าก็ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ช้านาน
เพราะไม่ประสงค์ให้ใครพินาศ (2 ปต. 3:9)
แต่สุดท้ายในวันพิพากษาก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว


หน้าที่และท่าทีของผู้เชื่อควรเป็นอย่างไร ?
แม้ว่าจะมีความชื่นชมยินดีและฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจใหม่และไว้วางใจในพระเยซูแล้ว
แต่เราไม่ควรกระหยิ่มยิ้มย่องว่า "ข้ารอดแล้ว" เท่านั้น
ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นเหมือนพระทัยของพระเยซูที่สงสารประชาชนและหาวิธีที่จะช่วยเขา
(มธ.9.36) เหมือนท่านเปาโลที่ปรารถนาให้เพื่อนร่วมชาติและทุกคนรอดด้วยการพยายามทุกวิถีทาง
(รม.11.14 ,1คร.9.22-23)

บางครั้งเราอาจจะถูกกดขี่ข่มแหง เอารัดเอาเปรียบ
หรือถูกกระทำที่ไม่ดีจากบางคน
ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของพระเจ้าที่จะพิพากษาคนเหล่านั้น
(2ธส.1.4-8)และเชื่อมั่นในความยุติธรรมของพระองค์
พร้อมทั้งหาวิธีช่วยคนเหล่านั้น
ที่จะได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าร่วมกันต่อไปดีหรือไม่ ?
เพราะเมื่อถึงวันพิพากษาสุดท้ายเราจะได้รับมงกุฎแห่งความยินดี (1ธส.2.19)
ได้นั่งใกล้ชิดพระบาทและรับคำชมจากพระเจ้า (1คร.4.5)
ซึ่งเป็นบำเหน็จที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต เกินคุ้มจากความทุกข์ที่เราเคยเผชิญมา


ว่าแต่ว่า...คุณและผมพร้อมที่จะให้ถึงวันแห่งการพิพากษาแล้วหรือยัง ?


แหล่งอ้างอิง :

ดอน เฟล็มมิ่ง (1991) "สารานุกรมพระคริสตธรรมคัมภีร์" เล่ม 1 กรุงเทพ
คริสเตียนศึกษาแบ๊บติสต์

ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ (2550)
"หลักความเชื่อคริสเตียนและศาสนศาสตร์ระบบ" กรุงเทพ
คริสเตียนศึกษาและพัฒนาคริสตจักร

เฮ็นรี่ แคลเรนซ์ ทีเซ่น (1995) ชุมแสง-วรรณภา เรืองเจริญสุข:ผู้แปล
"ศาสนศาสตร์ระบบ" กรุงเทพ กนกบรรณสาร


E-mail: bandhitda***

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #362 เมื่อ: 23 มี.ค. 10, 10:17 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ถ้อยคำที่ค้ำชูมิตรภาพ
โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์


"มิตรภาพส่วนมากที่ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน ซื่อสัตย์ และเต็มใจเสียสละ
มักตั้งอยู่บนรากฐานที่แข็งแกร่งแห่งถ้อยคำที่เมตตา" ("Many a friendship-
long, loyal and self-sacrificing-rested at first upon no thicker a
foundation than a kind word.) - Frederick F. Faber -

คนที่พูดจาไพเราะ อ่อนโยน อ่อนหวาน และมีเมตตาคุณ มักจะไม่ขาดเพื่อน

ตรงข้ามกับคนที่พูดจากระโชกโฮกฮาก หยาบคาย และไร้น้ำใจ
มักจะสูญเสียมิตรสหาย

คำพูดทำให้เราได้เพื่อน แต่คำพูดก็อาจทำให้เราเสียเพื่อนได้เช่นกัน

ฉะนั้น เวลาจะพูดจะจาอะไรกับเพื่อนของเราต่อหน้า
หรือเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับเพื่อนของเราให้คนอื่นฟังลับหลัง
ต้องไตร่ตรองใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นมิตรภาพจะพัง

ขอให้ระลึกถึงคำเตือนสติในพระธรรมสุภาษิตที่ว่า "บุคคลผู้ให้อภัยการทรยศ
ก็มุ่งจะสร้างมิตรภาพ แต่คนปากโป้งจะทำลายความเป็นมิตร" (สุภาษิต 17:9)

คำว่า "ปากโป้ง" ในที่นี้หมายความว่า "นำเรื่องเดิม (ที่เคยผิดพลาด)
มาพูดซ้ำ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เคยผิดใจหรือผิดหูกันมาก่อน

ไม่มีใครชอบให้คนอื่นขุดเอาเรื่องความผิดพลาด
หรือความบกพร่องของเขาที่กลบฝังไว้แล้ว
ขึ้นมาโพนทะนาให้คนอื่นรับรู้อีกหรอก จริงไหมครับ?

ดังนั้น เรื่องใดที่เคยสะสางกันไปแล้ว อย่านำเอากลับมาสู่วงสนทนาอีก
ไม่ว่าจะวงเล็กหรือวงใหญ่ จะต่อหน้าหรือลับหลัง
หากไม่อยากให้มิตรภาพที่พยายามรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ต้องปลิวกระจายหายไปอีกครั้งแบบถาวร

และหากว่า "มิตรภาพ" ของเราจะเสียหายไปบ้างเพราะคำพูดที่ไร้เมตตา
ไม่ว่าจะของเราหรือของเขา
ก็ขอให้เราเป็นคนแรกที่รีบซ่อมมิตรภาพนั้นโดยด่วน
ด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยเมตตาคุณ ด้วยคำขอโทษ และคำให้อภัยอย่างจริงใจ

วันนี้ มีผู้ใดบ้างหรือไม่ที่กำลังรอคอย "ถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความเมตตา"
จากคุณ
เพื่อที่จะซ่อมแซมมิตรภาพที่แตกหักไปให้กลับคืนสู่สภาพดีอีกครั้ง?...แล้วทำไมคุณยังรีรออยู่?

อย่าตระหนี่ถ้อยคำที่ดีเหล่านั้นเลย เห็นด้วยไหมครับ?

----- ----- ----- ----- ----- ----- ----- ----- -----

"อย่าเก็บคำพูดแห่งความรักชื่นชมของคุณที่มีต่อเพื่อนของคุณ
จนกระทั่งเขาตายจากไปอย่าจารึกมันไว้บนหลุมฝังศพของพวกเขา
จงพูดบอกเขาให้รับรู้ ณ บัดนี้เลยจะดีกว่า" (Do not save your loving
speeches for your friends till they are dead ; Do no t write then on
their tombstones, speak them rather now instead.) - Anna Cummins -

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 244 วันที่ 30 มกราคม -
5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พลังชีวิต โดย ศจ.ธงชัย
ประดับชนานุรัตน์

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #363 เมื่อ: 30 มี.ค. 10, 17:31 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

มองโลกจากคนละมุม
โดย พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร

"ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง" (มาระโก
16:15)

เมื่อประธานาธิบดีบารัค โอบามา
ได้รับการแต่งตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว
นักข่าวก็ไปสัมภาษณ์ประชาชนถึงความรู้สึกของพวกเขาในเรื่องนี้
สิ่งหนึ่งที่มีคนส่วนมากเห็นพ้องต้องกันก็คือ การกลับใจ
ความรู้สึกนี้คืออะไร ประชาชนส่วนมากกล่าวว่า
เขามองดูในมุมมองที่แตกต่างออกไป สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงได้เกิดขึ้น
กล่าวคือ ตำแหน่งทางการเมืองที่มีอำนาจมากที่สุด
สามารถอยู่ในมือของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาได้

นักบุญเปาโลได้เบียดเบียนคริสตชนที่กลับใจรุ่นแรก เพราะพวกเขาประกาศว่า
เยซูชาวนาซาเร็ธที่ถูกกฎหมายตัดสินประหารชีวิตนั้น
พระเจ้าได้ทรงโปรดให้กลับคืนชีพ และบัดนี้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์
และกลุ่มชนใหม่นี้ต้อนรับชาวยิวและชนต่างชาติ เรื่องนี้เปาโลรับไม่ได้
ต่อมาพระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนและกลับคืนพระชนมชีพ
ทรงปรากฏพระองค์มาแก่เขา ในขณะที่กำลังเดินทางไปยังดามัสกัส
การกลับใจของเปาโลนั้นหมายความว่า
ท่านมองดูพระเจ้าและโลกในทัศนคติที่แตกต่างออกไป
ไม่เพียงแต่กฎหมายจะไม่เพียงพอเท่านั้น
แต่พระเจ้ายังทรงเผยแสดงความรักอันน่าพิศวงแก่ท่าน
ความรักซึ่งแผ่ไปยังสิ่งสร้างทั้งปวง
แล้วเปาโลก็ได้ถูกเรียกให้เป็นอัครสาวกให้แก่ชนต่างชาติ
ซึ่งท่านเคยดูหมิ่นและไม่ยอมคบหาสมาคมด้วย

เป็นสิ่งที่ง่ายดายมากที่คนเคร่งศาสนาจะกลายเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้น
ดังเช่นนักบุญเปาโล ที่จะคิดว่าการเบียดเบียนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
หรือจะแยกตัวออกจากผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า
ซึ่งอาจจะเป็นการกระทำไปด้วยความตั้งใจที่ดีที่สุด
แต่การฉลองนักบุญเปาโลกลับใจในวันนี้เตือนเราว่า
พระเจ้าของพระเยซูคริสตเจ้าทรงสามารถทำลายกำแพงที่แบ่งออกเป็นความแตกต่างด้านศาสนา
ด้านเชื้อสายและเผ่าพันธุ์ ที่เราตั้งขึ้นมาเอง
ทรงสัมผัสใจเราด้วยความรักต่อบรรดาสิ่งสร้างทั้งปวง
และช่วยให้เรามองโลกในแง่มุมที่แตกต่างออกไป

บทอธิษฐานภาวนา : ข้าแต่พระเจ้า
พระองค์ทรงเผยแสดงพระองค์เองให้แก่นักบุญเปาโล
ในขณะที่ท่านเดินทางไปยังดามัสกัส
และทรงเรียกให้ท่านไปประกาศพระวรสารแก่นานาชาติ
โปรดทรงสัมผัสจิตใจของลูกด้วยพระหรรษทานของพระองค์
เพื่อลูกจะได้เอาชนะอคติแคบๆของลูก และมองดูโลกด้วยสายพระเนตรของพระองค์
อาแมน

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 244 วันที่ 30 มกราคม -
5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 หน้า 24 คอลัมน์ ข้อคิดจากพระคัมภีร์ โดย
พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #364 เมื่อ: 31 มี.ค. 10, 12:33 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
"วันอีสเตอร์"

"วันอีสเตอร์" ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของผู้นับถือศาสนาคริสต์
โดยเป็นวันแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ชีพขององค์พระเยซูคริสต์

การฉลองวันอีสเตอร์ โดยทั่วไปจะฉลองในวันอาทิตย์
คริสตชนจะไปรวมตัวกันและเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน
มีการร้องเพลงนมัสการพระเจ้า รับประทานอาหารเช้าร่วมกัน
บางแห่งก็จะมีการเล่นเกมส์ระบายสีบนไข่และนำไปซ่อนให้เด็กๆหรือหนุ่มสาวค้นหาอย่างสนุกสนาน

คนโบราณในประเทศตะวันตกเชื่อกันว่าไข่เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตเพราะกำลังจะมีชีวิตใหม่เกิดขึ้น
จึงได้มีการใช้ไข่เป็นสัญลักษณ์ของวันอีสเตอร์ นอกจากนี้ กระต่าย
และดอกลิลลี่ ยังเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันอีสเตอร์ด้วย

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #365 เมื่อ: 6 เม.ย. 10, 10:57 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

หัวหอกแห่งการฟื้นฟู?

โดย ประพันธ์ หน่อราช (pnawrat@gmail.com)

(*หากอ่านแล้วขาดตอนโปรดคลิกที่หัวข่าวเพื่ออ่านเรื่องเต็ม)

ในหลายสิบปีที่ผ่านมา มีคำพยากรณ์มากมายที่บอกว่า
การฟื้นฟูครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย
โดยไฟแห่งการฟื้นฟูจะถูกจุดขึ้นที่ภาคเหนือก่อนแล้วแพร่ลามไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
การเปิดเผยโดยพระวิญญาณของพระเจ้าในเรื่องนี้ เกิดขึ้นย้ำๆ
ซ้ำกันหลายครั้ง
จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วไปในท่ามกลางคริสตชนทั้งหลายราวกับเป็นข้อเท็จจริงฝ่ายวิญญาณไปแล้ว

ประกอบกับ เมื่อพิจารณาข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์
เหตุการณ์ที่คริสเตียนไทยคนแรกได้ยอมตายเพราะความเชื่อ
เกิดขึ้นที่บ้านแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง เชียงใหม่ และข้อมูลเชิงสถิติพบว่า
จังหวัดที่มีจำนวนคริสตจักรมากที่สุดในประเทศไทยนั้นคือเชียงใหม่
(รองลงมาคือกรุงเทพฯ และเชียงราย)
เมื่อมองโดยภาพรวมแล้วภาคเหนือจึงเป็นชุมชนคริสเตียนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

องค์ประกอบเหล่านี้ ทำให้ผู้เชื่อทั้งในท้องถิ่น และทั่วประเทศ
และแม้กระทั่งบรรดามิชชั่นนารีที่เกี่ยวข้องต่างกำลังคาดหวังที่จะเห็นการฟื้นฟูเกิดขึ้นในยุคสมัยของตน

คำถามข้อใหญ่คือ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? และในรูปแบบใด?


ผู้รับใช้พระเจ้าหลายท่านที่มีใจร้อนรนได้พากันลุกขึ้นเพื่อจะกระทำให้นิมิตนี้สำเร็จ
สิ่งที่กลายเป็นคำสามัญติดปากเราทุกคนไปแล้วก็คือคำว่า "การประชุมฟื้นฟู"
ทุกคนอยากเห็นการฟื้นฟูเกิดขึ้น เราจึงลุกขึ้นจัดการประชุมฟื้นฟู...
จัดกลุ่มอธิษฐานเพื่อกระตุ้นให้เกิดการฟื้นฟู... จัดสัมมนา
จัดประกาศกลางแจ้ง จัดรวมพลังนมัสการ ตลอดจนกิจกรรมฝ่ายวิญญาณต่างๆ
โดยความคาดหวังว่า เราจะไปแตะโดน "ปุ่มฟื้นฟู" เข้าสักวันหนึ่ง
จนการฟื้นฟูระเบิดขึ้นและลุกลามไปทั่ว...

นักธุรกิจคริสเตียนหลายท่านยอมทุ่มทุนไปมากมาย
เพราะอยากเห็นการฟื้นฟูเกิดขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงการประชุมที่น่าตื่นเต้น และเร้าใจ...
และคริสตจักรอาจยังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่า "ฟื้นฟู" อีกหลายก้าว...

ที่น่าคิดคือ การประชุมที่จัดๆ ไปนั้นอาจต้องใช้เงินมาก
ในขณะที่ถ้าเกิดการฟื้นฟูขึ้นจริงๆ เราอาจไม่ต้องใช้เงินเลยก็ได้...

ผู้นำคริสตจักรหลายท่าน
ยอมทุ่มเทเรี่ยวแรงและทรัพย์สินด้วยความตั้งใจดีที่อยากเห็นการฟื้นฟูเกิดขึ้น

เราเฝ้าเสาะแสวงหา "นักเทศน์ฟื้นฟู" หรือทีมฟื้นฟู
เพื่อจะเชิญมาทำการฟื้นฟูในคริสตจักรหรือกลุ่ม คณะ ของเรา

เราได้รับการเจิมด้วยไฟ เราได้สัมผัสน้ำพุของพระเจ้า
มีคนล้มลงในฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ มีคนหัวเราะชนิดควบคุมตัวเองไม่ได้
เพราะความปิติยินดีในพระวิญญาณ มีคนร้องไห้เพราะสำนึกผิดบาป
มีคนกลับใจใหม่เพราะเห็นฤทธิ์อัศจรรย์ของพระเจ้า...

ผมเคยเห็นสมาชิกจากคริสตจักรในสภาฯ
จำนวนมากโยกย้ายไปอยู่กับคริสตจักรเพนเตคอสต์หลายแห่งในเชียงใหม่
ต่อมาเมื่อมีการฟื้นฟู "การนมัสการในพระวิญญาณ"
สมาชิกจากคริสตจักรเพนเตคอสต์และสภาฯ
ก็พากันย้ายไปอยู่กับคริสตจักรคาริสเมติคต่างๆ
จนหลายคริสตจักรต้องรีบปรับตัวและ "ฟื้นฟู" แนวทางการนมัสการของตนเอง
เพื่อรักษาสมาชิกของตนไว้...

เพราะความร้อนรนที่ทุกคนอยากเห็น
อยากมีส่วนในการฟื้นฟูใหญ่ของพระเจ้า
แค่เราได้เห็นประกายไฟของพระเจ้าที่โน่นนิด ที่นี่หน่อย
ได้แตะละอองน้ำของพระเจ้าบ้างแบบประปราย
เราก็จะรีบร้องตะโกนออกมาด้วยความยินดีว่า "ฟื้นฟูแล้ว ฟื้นฟูแล้ว"

อีกประการหนึ่ง
เมื่อพระเจ้าเริ่มใช้ผู้นำบางท่านเพื่อเริ่มจุดประกายของการฟื้นฟูขึ้น
อารามดีใจเราก็รีบออกไปประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนได้รับรู้ถึง "ความสำเร็จ"
ที่กำลังเกิดขึ้น

เส้นแบ่งระหว่าง "การเป็นพยานเพราะความยินดี" กับ
"การโอ้อวดถึงความสำเร็จ" นั้นบางมาก แทบจะแยกจากกันไม่ออก

มีแต่เจ้าตัว กับพระเจ้าเท่านั้นที่บอกได้ว่า ท่าทีลึกๆ
ในใจของเรานั้นอยู่ฝ่ายวิญญาณหรือเนื้อหนัง


และบางครั้งจิตใจของเราก็แยบยลและเหลี่ยมจัดจนตัวเองแยกไม่ออกเหมือนกันว่าเรากำลังอยู่ฝ่ายวิญญาณหรือเนื้อหนังกันแน่?

ที่จริงหลายครั้ง พวกเราหลายคนเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณชัดๆ ....
พอมารู้ตัวอีกที การฟื้นฟูก็หยุดไปแล้ว และเรากำลังจบลงด้วยเนื้อหนัง

หลายคนจึงดิ้นรนสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่ตัวเอง
และการงานนับจากนั้นต่อไปก็เป็นเพียงแค่การเฝ้าซากของการฟื้นฟูซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว

สรุปแล้วการฟื้นฟูที่ว่าได้เคยเกิดขึ้นในภาคเหนือแล้วหรือยัง?
หรือจะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า?


ผมเชื่อว่าพระเจ้าได้พยายามที่จะทำให้เกิดการฟื้นฟูขึ้นมาหลายครั้งแล้วในช่วงที่ผ่านมา


ทั้งในแง่ของการพลิกฟื้นจิตใจเหล่าคริสเตียนให้หันกลับมาสู่ความรักดั้งเดิมในพระเจ้า
และการสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าท่ามกลางผู้ที่ยังไม่เชื่อ
จนหลายคนยอมมอบถวายชีวิตให้แก่พระคริสต์

สำหรับทุกท่านที่ร้อนรนเพื่อพระเจ้า
พระเจ้าอาจเคยเริ่มจุดประกายการฟื้นฟูนั้นผ่านตัวของคุณมาแล้วด้วยซ้ำ

ยอมรับไหมว่า
ท่านเคยอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงใช้ท่านและคริสตจักรให้เป็นหัวหอกของการฟื้นฟู?
หรือขอให้ได้มีส่วนกับแผนการแห่งการฟื้นฟูของพระเจ้า?

และพระเจ้าก็คงได้เคยพยายามที่จะตอบคำอธิษฐานนั้นเพื่อท่านไปแล้ว

แต่กิจกรรมและท่าทีแบบเนื้อหนัง โดยเฉพาะความเย่อหยิ่ง คือสิ่งที่
"ดับ" พระวิญญาณ

แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้เข้าใกล้และตบแก้มมีคายาห์ พูดว่า
"พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้า พูดกับเจ้าได้อย่างไร?"

-1 พงศ์กษัตริย์ 22 ข้อ
24, 25


กษัตริย์อาหับได้ชักชวนเยโฮชาฟัทออกไปทำสงครามยึดดินแดนคืนจากซีเรีย
เยโฮชาฟัทรับปากแต่โดยความยำเกรงพระเจ้าจึงอยากรู้ก่อนว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือไม่ที่จะออกไปทำสงครามครั้งนี้
อาหับบัญชาให้เรียกผู้เผยพระวจนะมาสี่ร้อยคนเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าพระเจ้าสำแดงให้ออกไปรบ และจะมีชัยชนะแน่


มีคายาห์ผู้เผยพระวจนะถูกเรียกตัวมาในช่วงสุดท้ายเพื่อให้เปิดเผยถึงน้ำพระทัยพระเจ้า
ท่านทูลต่อกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า
กองทัพอิสราเอลจะพ่ายแพ้และพระองค์จะถึงแก่ชีวิต
ซึ่งทำให้อาหับไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง เศเดคียาห์
ผู้เผยพระวจนะเทียมซึ่งถูกครอบงำด้วยวิญญาณมุสาจึงเข้ามาตบหน้ามีคายาห์
พร้อมกับตั้งคำถามว่า "พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้า
พูดกับเจ้าได้อย่างไร?"

ประโยคนี้ มีความหมายในทำนองที่ว่า...

ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าจริง
พระเจ้าต้องพูดหรือทำการผ่านทางข้าเท่านั้น...

ถ้าพระเจ้าจะฟื้นฟูจริง
พระเจ้าจะต้องฟื้นฟูผ่านทางคริสตจักรหรือคณะของเราเท่านั้น...

เศเดคียาห์ มีทีมงานตั้งสี่ร้อยคน มีชื่อเสียง มีเกียรติ
มีเครดิตน่าเชื่อถือมากกว่ามีคายาห์อยู่อย่างเห็นได้ชัด


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #366 เมื่อ: 17 เม.ย. 10, 16:42 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ไม่มีทางลัดสู่ความศักดิ์สิทธิ์
โดย พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร

"สิ่งที่ออกจากภายในมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน" (มะระโก 7:20)

เป็นระยะๆ เราจะได้ยินข่าวที่นักกีฬาถูกจับได้ว่าเป็นผู้ใช้ยาเสพติด
เพื่อช่วยกระตุ้นให้เขาประสบความสำเร็จ เมื่อมีข่าวเช่นนี้ออกมา
อาชีพนักกีฬาของเขาก็ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง
ความสำเร็จของการเล่นกีฬาไม่มีทางลัด
ยาเสพติดเอามาแทนความสามารถและการฝึกฝนตนเองอย่างจริงจังไม่ได้

ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตจิตก็เช่นกัน การจำศีลอดอาหาร
หรือการประกอบกิจศรัทธาในตัวของมันเอง
ไม่อาจทำให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ ในพระวรสารวันนี้
พระเยซูเจ้าตรัสว่า การรับประทานอาหารที่ถูกต้องหรือผิด
มิได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตจิตวิญญาณของเรา มิได้เป็นเครื่องวัดว่า
บุคคลผู้นั้นเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่
หากแต่ว่าเป็นที่ดลใจบุคคลนั้นต่างหาก
อาศัยการประพฤติตนตามฤทธิ์กุศลต่างๆ การหมั่นอธิษฐานภาวนา
การอ่านพระคัมภีร์ และการรับศีลศักดิ์สิทธิ์
ด้วยเดชะความช่วยเหลือจากพระเจ้าพระองค์เอง
เราจึงสามารถเริ่มกระทำตนให้เป็นผู้ติดตามพระคริสตเจ้าภายในตัวเราเอง
เราอาจต่อต้านสิ่งชั่วร้าย แต่ไม่มีทางลัด
หากเราคิดว่ามีและดำเนินชีวิตตามทางนี้ เพื่อ "บรรลุถึงสวรรค์"
เรากำลังเผชิญกับการปล่อยให้ความชั่วมัดตัวเราไว้
ปล่อยให้ตัวเราเผชิญกับความเลวทรามต่ำช้า

พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงอาการของความชั่วสิบสองประการ ในต้นฉบับภาษากรีก
หกประการแรกเป็นกิจการที่ชั่วช้า และอีก 6 ประการเป็นความชั่วด้านศีลธรรม
เราอาจตกเป็นเหยื่อของความผิดเหล่านี้ หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยเหลือเรา
หากเราไม่ปฏิบัติตามฤทธิ์กุศล เราอาจตกเป็นเหยื่อของสิ่งเหล่านี้ได้
พระเยซูเจ้าทรงเน้นว่า ลึกลงไปในใจของเรา เราปล่อยตัวเราให้เป็นอย่างไร
นั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 247 วันที่ 20-26
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 หน้า 24 คอลัมน์ ข้อคิดจากพระคัมภีร์ โดย
พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #367 เมื่อ: 24 เม.ย. 10, 10:37 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เมื่อเราสับสนพระเยซูทรงหาเราเสมอ
โดย กิตติวุฒิ เอี๊ยบเจริญ


ยอห์น 21:3 "ซีโมนเปโตร บอกเขาว่า 'ข้าจะไปจับปลา'
เขาทั้งหลายจึงพูดกับท่านว่า 'เราจะไปด้วย' แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ
แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย"

ถ้าใครได้อ่านพระคัมภีร์ในยอห์นบทที่ 21
จะพบว่าพระคัมภีร์ตอนนี้เต็มไปด้วยบทเรียนหนุนใจมากมาย
ซีโมนเปโตรซึ่งเป็นคนหนึ่งที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจนในการติดตามพระเจ้าและได้ทำอย่างทุ่มเทมาก่อน
แต่ภายหลังการถูกจับและตรึงที่ไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์
ซีโมนเปโตรเกิดความสับสน ไม่รู้จะเริ่มต้นใหม่อย่างไร

...เชื่อว่าในชีวิตของเราทั้งคนที่เชื่อพระเยซูและไม่เชื่อพระเยซู
ก็มีโอกาสที่จะสับสนแบบซีโมนเปโตรในช่วงเวลาที่ต้องมีการเริ่มต้นใหม่

แท้จริงก่อนเหตุการณ์ตอนนี้ เป็นเหตุการณ์หลังพระเยซูฟื้นจากความตายแล้ว
และได้ปรากฏให้สาวกได้เห็น ทั้งได้สนทนาพูดคุยกับเหล่าสาวกด้วย
ซีโมนเปโตรก็รู้ว่าขณะนั้นพระเยซูคริสต์ได้ฟื้นคืนพระชมน์แล้วและดำเนินอยู่ที่ใดที่หนึ่งที่ไม่ได้ห่างไกลเขาเท่าไร
แต่เขากลับรู้สึกสับสนและวุ่นวายใจไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดดี
หรือจะเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร
ซีโมนเปโตรได้เอาชีวิตแห่งอนาคตไปผูกไว้กับอดีต
และยังยึดกับสิ่งเก่าหรือรูปแบบชีวิตเก่าของตนเอง
ไม่สามารถลุกขึ้นมาดำเนินไปตามแผนงานใหม่ในอนาคตใหม่ได้

การยึดกับรูปแบบความเคยชินเก่าของซีโมนเปโตรทำให้เขาสับสน
สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจใช้ชีวิตแบบเก่า
คือกลับไปเป็นชาวประมงที่เขาเองเป็นผู้ชำนาญ
เป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา
เป็นการพึ่งพาความรู้และความสามารถของตนเองแบบหนึ่ง
แต่ความพยายามของเขากลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ในคืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย

ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ข้อถัดไปเราจะพบว่าพระเยซูได้สำแดงพระองค์เองให้เขาพบและแนะนำการจับปลาให้แก่เปโตรและสามารถจับปลาได้จำนวนมากจนเต็มอวน
มีคำถามที่น่าคิดและอยากชวนให้เราคิดคือ
พระเยซูได้เข้ามาอวยพรแก่เปโตรให้จับปลาได้มากนั้นเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าในการให้เปโตรเป็นชาวประมงต่อไปหรือไม่?

ยอห์น 21:7 "สาวกคนที่พระเยซูทรงรักบอกเปโตรว่า 'เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า'
เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะตัวเปล่าอยู่แล้วก็กระโดดลงทะเล"

ผมเชื่อว่าพระเยซูรู้จักเปโตรดี
พระองค์ได้ทรงสำแดงพระองค์เองในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเคยสำแดงแก่เปโตรมาแล้วในลูกาบทที่
5 คือการแนะนำเปโตรในการจับปลาหลังจากที่เปโตรล้มเหลว
และเมื่อเปโตรจำพระเยซูได้
เขาไม่สนใจปลาจำนวนมากที่เขาได้พยายามหามาตลอดคืน
เขากลับละทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย สิ่งที่เขาทำคือกระโดดลงทะเล
ว่ายน้ำกลับไปหาพระเยซูด้วยใจกระตือรือร้น เพื่อไปรับน้ำพระทัยใหม่
ไปรับอนาคตใหม่ ความสับสนที่เปโตรมีนั้นหายไป
ความสับสนที่เปโตรมีอยู่ในใจว่าพระเยซูยังคงมองเขาเหมือนเดิมหรือไม่
พระองค์ยังคงตำหนิการที่เปโตรได้ปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้งหรือไม่
พระเยซูจะยังทรงใช้เขาในการปรนนิบัติพระองค์หรือไม่
สิ่งเหล่านี้ที่ได้วนเวียนอยู่ในความคิดของเปโตรนั้นได้หายไปแล้ว

เมื่อเราสับสน เมื่อเราต้องเริ่มต้นใหม่
อาจเพราะความผิดพลาดของเราทำให้เราต้องเริ่มต้นใหม่
หรืออาจจะจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราทำให้เราต้องเริ่มต้นใหม่
เราต้องไม่ปล่อยให้ความรู้สึกสับสนจากเหตุการณ์ต่างๆในอดีตมาเป็นตัวชี้อนาคตของเรา
อย่าให้เรายึดความรู้สึกของเรา (เพราะความรู้สึกของเราจะคอยหลอกลวงเรา)
แต่ให้เรายึดความจริงของพระเจ้า พระเยซูรักเราและจะไม่ทอดทิ้งเรา
และเมื่อเราแสวงหาพระองค์เราจะพบพระองค์ และพระองค์จะนำทางเรา

เหมือนอย่างที่ในเวลาต่อมาเปโตรได้เขียนข้อความไว้ในพระคัมภีร์ 1 เปโตร
5:7 "จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์
เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย"

บทความจาก www.gracezone.org

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 248 วันที่ 27
กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย
กิตติวุฒิ เอี๊ยบเจริญ


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #368 เมื่อ: 30 เม.ย. 10, 13:20 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 


Date: Mon, 21 Dec 2009 15:21:17 +0700
From: baki777@thaimail.com
To: baki777***
Subject: "สองมาตรฐาน" ของ "พระเจ้า" กับ "ประเทศไทย"!

"สองมาตรฐาน" ของ "พระเจ้า" กับ "ประเทศไทย"!

โดย ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

8 ธันวาคม 2552 13:56 น.


ผมไม่รู้ว่า "พระเจ้า" มีจริงหรือไม่? "พระเจ้า" ทรงมีกี่องค์? "พระเจ้า"
ที่รับผิดชอบประเทศไทยอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้?

แต่วันนี้..ผมเขียนจดหมายส่วนตัวถึง "พระเจ้า" เพื่อแสดงความไม่
"แฮปปี้" อย่างรุนแรงที่พระองค์ทรงมี "สองมาตรฐาน"
กับคนไทยและประเทศไทยครับ

"พระเจ้า" ทรงรู้ใช่ไหมว่า คนไทยส่วนใหญ่รักชาติ ที่สำคัญรัก
"ในหลวง" และ"พระราชินี" ด้วย!

พระเจ้าครับ..แล้วท่านดันให้ ทักษิณ ชินวัตร
มาเกิดบนแผ่นดินไทยทำไม?

หากทักษิณ ชินวัตร รักชาติ-รักสถาบันสูงสุด
เหมือนคนไทยส่วนใหญ่บนแผ่นดินนี้ เขาจะต้องไม่ทำในสิ่งที่เขาทำ
ทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างแน่นอน!

โอ.."พระเจ้า" ครับ นั่นเป็นข้อสรุปตบท้าย
ของความเห็นวงสนทนาทางการเมือง ซึ่งมีผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งท่านผู้หญิง
คุณหญิง อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ทหาร ตำรวจ
ข้าราชการระดับบิ๊กเบิ้มมากมายหลายคน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ ้านใครบ้านมัน

แถมคนเหล่านี้มีความเห็นตรงกันว่า "พระเจ้า" ไม่ยุติธรรมและมี
"สองมาตรฐาน" ครับ!

"พระเจ้า" ก็รู้นี่นาว่า มหาเศรษฐีทักษิณเป็นคนละโมบโลภมาก
ในอำนาจทางการเมือง และผลประโยชน์ทั้งทางตรงทางอ้อม
ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตมนุษย์ที่โชคดีอย่างทักษิณนั้น
มีน้อยมากในโลกกลมๆ ใบนี้!

ดูสิ..ทักษิณที่ไม่ประสบความสำเร็จจากอาชีพตำรวจ
ก้าวเข้าสู่ชีวิตนักธุรกิจเล็กๆที่ลุ่มๆ ดอนๆ
ก่อนจะกลายมาเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านในชั่วครึ่งชีวิต
และเลื่อนชั้นเป็นอภิมหาเศรษฐีหลายแสนล้านบาทใน 4-5 ปี
หลังจากเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย!

พระเจ้าครับ..ท่านนั่นแหละทราบดีว่า
มหาเศรษฐีทักษิณรวยระเบิดเถิดเทิงได้
เพราะคอร์รัปชันโกงชาติหรือทำมาหากินอย่างสุจริต?

"พระเจ้า" เปิดโอกาสให้ทักษิณ
ได้พบนาทีทองของชีวิตบนเส้นทางสองแพร่ง แพร่งหนึ่ง..จะเป็นวีรชนของปวงชน
หรือเดินบนแพร่งที่สอง..เป็นทุรชนคนชั่วของชาติไทย

ทางสองแพร่งนี้..ไม่มี "พระเจ้า"
และมนุษย์หน้าไหนบังคับทักษิณให้เดิน
หากแต่ ทักษิณต้องตัดสินใจด้วยตนเองว่า..จะเดินไปบนเส้นทางใด..จริงไหม?

ทางแห่งวีรบุรุษของปวงชนคนไทยสำหรับทักษิณนั้น
ไม่มีความยากเย็นแสนเข็ญอะไรเลยสักนิด
เพราะทักษิณก่อนเป็นและวันที่เป็นนายกรัฐมนตรีไทยนั้น
ทักษิณมีเงินทองล้นฟ้าใช้กี่ชาติก็ไม่มีวันหมด
แถมทักษิณยังมีประชาชนสนับสนุนหนุนหลังเต็มที่
ทักษิณได้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ตามกฎหมายอย่างเบ็ดเสร็จ

ชีวิตทักษิณวันนั้น..วันที่เขายิ่งใหญ่
เขาไม่ควรที่จะต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากต้องทดแทนบุญคุณชาติ-
สถาบันสูงสุด-ประชาชนคนไทย ที่ต่อสู้ปกป้องผืนดินไทยมาแต่โบราณกาล
ทักษิณมีแต่ต้องทุ่มใจทำงานเพื่อชาติ-เพื่อประชาชน-
เพื่อสร้างคุณงามความดี ให้กับชีวิตของเขาและวงศ์ตระกูล "ชินวัตร"
สถานเดียว

"พระเจ้า" ให้โอกาสมนุษย์อย่าง "ทักษิณ" มากเหลือเกิน
มากจนเกินความพอดี-พอเหมาะ-พอควร มากจนมนุษย์มากมายในโลกอิจฉาคนชื่อ
"ทักษิณ" เลยหละ

มนุษย์บางคนจึงอดรนทนไม่ไหว ถึงกับตำหนิ "พระเจ้า" อย่างรุนแรงว่า
พระองค์ทรงทำให้เกิดและมี "สองมาตรฐาน"
ในการให้โอกาสกับมนุษยชาติโดยไร้คว ามเท่าเทียม พูดตรงๆ มีมนุษย์บางคนว่า
"พระเจ้า" ไม่ยุติธรรมแล้วนะครับ

ก็แหม..มีอย่างที่ไหน..มนุษย์ดีๆ มากมายในประเทศไทยนี่แหละ
ชีวิตต้องผจญความยากจนข้นแค้นแสนสาหัส ต้องอดๆ อยากๆ
จนมนุษย์วัยเยาว์บางคนถึงกับต้องอดตายคาอ้อมอกแม่
ซึ่งร้องไห้กับการจากไปของลูกน้อย จนน้ำตาไหลหลั่งดั่งสายเลือด

แต่มนุษย์ดีๆ ที่ยากจนเหล่านั้น กลับทุ่มเททำแต่ความดีให้กับสังคม
ให้กับชาติและสถาบันสูงสุดในประเทศไทย ที่พวกเขาก่อเกิด-เติบโต-
ได้ทำมาหากินเลี้ยงชีพ แถมตายยังได้กลบฝังใต้ผืนดินนี้อีกต่างหาก

"พระเจ้า" ท่านเห็นไหม..มนุษย์มากมายในประเทศไทย นิสัย-สันดาน-
แทบทุกอย่างดีกว่าทักษิณอย่างเทียบกันไม่ติด แต่ "พระเจ้า" กลับไม่แยแส-
ไม่ให้โอกาสร่ำรวย เพื่อพวกเขาจะได้อยู่อย่างสุขสบายบ้าง
ที่สำคัญเงินทองในกำมือของเหล่าคนดีนั้น มักจะถูกใช้ไปกับการสร้างคนดี-
สร้างสังคมให้น่าอยู่ และร่วมกันสร้างชาติ ศาสน์
กษัตริย์ให้มั่นคงอย่างยั่งยืนตลอดไป

ในขณะที่ทักษิณได้เงินทองมากจนล้นฟ้า ได้โอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี
ได้โอกาสที่จะทำดีมากเหลือเก ิน..มากจนเกินความพอดี..แล้วเป็นไงล่ะ
"พระเจ้า"?

ทักษิณ-ก้าวจากการเป็นมหาเศรษฐีเข้าสู่เวทีทางการเมือง
ด้วยวิธีซื้อทุกอย่างที่จะทำให้เขาได้เรียนลัด-รวยลัด
บนเก้าอี้แห่งอำนาจทางการเมือง จนทักษิณได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง ได้
ส.ส.เข้าสภาฯ มากเป็นประวัติการณ์
ได้เป็นนายกรัฐมนตรีที่ผู้คนชื่นชอบมากที่สุดคนหนึ่งในชาติไทย

"พระเจ้า" ก็รู้ถึงธาตุแท้นี่นาว่า
ทักษิณนั้นแสร้งทำดีโดยไร้ความจริงใจ
ทักษิณใช้เงินภาษีที่รัฐเก็บจากประชาชนมาหาเสียงด้วยโครงการประชานิยม
ชนิดลด-แลก-แจก-แถมให้กับประชาชนคนไทยอย่างไม่อั้น
ทักษิณเก่งในการใช้เล่ห์เพทุบายหลอกลวงประชาชน
ให้มาหลงรักและสนับสนุนตนและพวกพ้อง
ด้วยอามิสสินจ้างและผลประโยชน์นานาประการแบบผิวเผิน

ต่อข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทักษิณได้ใช้อำนาจทางการเมืองเปลี่ยนเป็นพนักงานของรัฐ แถมข่มขู่-คุกคาม-
โยกย้ายหรือปลดออกจากราชการ หากข้าราชการคนใดเห็นต่าง
หรือไม่ยอมรับใช้การกระทำกรรมชั่วของตนและพวกพ้อง

ในขณะเดียวกัน..ก็เลื่อนตำแหน่งให้ข้าราชการบางคน
ที่หนุนหลังหรือรับใช้ตนกับพวกพ้องอย่างเต็มที่
ถึงกับข้าราชการชั่วบางคนได้รับการสถาปนาให้เป็นถึงเสนาบดีฯ
ของรัฐบาลทักษิณอย่างโจ่งแจ้งโจ๋งครึ่ม

ที่สำคัญ..ทักษิณคนที่ "พระเจ้า" มอบโอกาสทองให้มากมายนั่นแหละ
ยังทำร้ายหัวใจคนไทยทั้งชาติอย่างรุนแรง
ด้วยการขยิบตาปล่อยให้เกิดขบวนการทำลายสถาบันสูงสุด
ด้วยเป้าประสงค์ที่ตรงกัน
ตรงกับฝ่ายอดีตคอมมิวนิสต์ที่สนิทสนมและทำงานกับทักษิณ
ซึ่งต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้หมดสิ้นไปจากชาติไทย

ส่วนผู้ครองอำนาจรัฐ "หน้าเหลี่ยม" ยุคนั้น
ก็พออกพอใจที่สถาบันสูงสุดอ่อนแอหรือโค่นล้มลง
พวกนักการเมืองระบอบทุนนิยมสามานย์
ก็จะได้โกงกินชาติและบริหารอำนาจรัฐได้อย่างเต็มที่
รวมทั้งจะได้เป็นใหญ่เป็นหนึ่งในผืนแผ่นดินไทยแทนไงล่ะครับ

แน่นอน "พระเจ้า" ครับ..เรื่องทักษิณคอร์รัปชันโกงกินบ้านเมือง
และทำร้ายทำลายสถาบันสูงสุดนั้น
เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องต่อสู้กับทักษิณและพวกพ้อง
และพวกเราคนไทยก็ขอบอกกับพระเจ้าให้ทรงทราบไว้ ณ ที่นี้เลยว่า

คนไทยที่รักชาติ-รักในหลวง-พร ะราชินี
จะต่อสู้กับทักษิณและพวกพ้องอย่างถึงที่สุด แต่ "พระเจ้า"
ครับ..ท่านก็ต้องรับผิดชอบ และต้องรับผิดชอบเป็นหลักด้วยซ้ำไป

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #369 เมื่อ: 1 พ.ค. 10, 11:57 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ผมขอเสนอให้พิจารณาสองประเด็นครับ

||| ประเด็นแรก เกี่ยวกับการแยกแยะวิถีของการเมืองกับวิถีของจิตวิญญาณ
|||

แม้ว่าในกรณีของการเมืองผมจะ "ไม่ชอบ" ท่านอดีตนายกทักษิน
แต่ก็เชื่อว่ามีคริสเตียนหลายท่านยังคง "ชื่นชอบ"
ลองคิดดู ถ้าพระเจ้าเห็นด้วยกับความคิดของคุณชัชวาลย์
กลุ่มคริสเตียนคงวุ่นวายน่าดูครับ.. แต่ไม่มีหรอกครับ
เพราะในพระคัมภีร์มีคำสอนให้เคารพกฎของบ้านเมืองด้วย
คุณชัชวาลย์สามารถเข้าไปค้นคว้าได้ครับ
ตัวอย่างเช่น ในหนังสือมัธธิวบทที่ 17, หนังสือโรมบทที่ 13 เป็นต้น

||| ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้าและอิสระของมนุษย์
(สำหรับน้องๆคริสเตียน) |||

ผมเชื่อว่าพระเจ้าให้ "อิสระแก่มนุษย์ในการเลือก" และ
"รับผลจากการเลือกนั้น" ตัวอย่างเช่น
1. การที่อาดัม-อีพมีอิสระที่จะเลือกทานผลไม้แห่งชีวิต
2. การที่อิสราเอลมีอิสระที่จะเลือกซาอูลเป็นกษัตริย์
3. การที่ดาวิดหรือโยเซฟกว่าจะได้เป็นกษัตริย์

คำถามที่ผมคิดว่าควรจะพิจจารณาคือ
1. ความสัมพันธ์ของสามีกับภรรยากับพระเจ้าดีแล้วหรือยัง
เขาถึงเลือกที่จะฟังงู ?
2. อิสราเอลรู้จักซาอูลดีแล้วหรือถึงเลือกซาอูล ?
3.1 ทำไม (ท่าที) เดวิดตัดสินใจไม่ประหารซาอูลถึง 3 ครั้ง ?
3.2 ท่าทีโยเซฟในการรับความผิด ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ ?

สุดท้ายผมขอให้พิจารณาอีกครั้งนะครับ
ใครกันแน่เป็นผู้กำหนดกำหนดสองมาตรฐานนี้
อย่าอ้างพระเจ้าเลยครับ ผู้เชื่อใหม่จะสับสนกันเปล่าๆ


พระเจ้าอวยพระพร... / ชินราช เชาว์พัฒนา


----------------------------------------------------------
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #370 เมื่อ: 1 พ.ค. 10, 11:59 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ผมขอเสนอให้พิจารณาสองประเด็นครับ

||| ประเด็นแรก เกี่ยวกับการแยกแยะวิถีของการเมืองกับวิถีของจิตวิญญาณ
|||

แม้ว่าในกรณีของการเมืองผมจะ "ไม่ชอบ" ท่านอดีตนายกทักษิน
แต่ก็เชื่อว่ามีคริสเตียนหลายท่านยังคง "ชื่นชอบ"
ลองคิดดู ถ้าพระเจ้าเห็นด้วยกับความคิดของคุณชัชวาลย์
กลุ่มคริสเตียนคงวุ่นวายน่าดูครับ.. แต่ไม่มีหรอกครับ
เพราะในพระคัมภีร์มีคำสอนให้เคารพกฎของบ้านเมืองด้วย
คุณชัชวาลย์สามารถเข้าไปค้นคว้าได้ครับ
ตัวอย่างเช่น ในหนังสือมัธธิวบทที่ 17, หนังสือโรมบทที่ 13 เป็นต้น

||| ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้าและอิสระของมนุษย์
(สำหรับน้องๆคริสเตียน) |||

ผมเชื่อว่าพระเจ้าให้ "อิสระแก่มนุษย์ในการเลือก" และ
"รับผลจากการเลือกนั้น" ตัวอย่างเช่น
1. การที่อาดัม-อีพมีอิสระที่จะเลือกทานผลไม้แห่งชีวิต
2. การที่อิสราเอลมีอิสระที่จะเลือกซาอูลเป็นกษัตริย์
3. การที่ดาวิดหรือโยเซฟกว่าจะได้เป็นกษัตริย์

คำถามที่ผมคิดว่าควรจะพิจจารณาคือ
1. ความสัมพันธ์ของสามีกับภรรยากับพระเจ้าดีแล้วหรือยัง
เขาถึงเลือกที่จะฟังงู ?
2. อิสราเอลรู้จักซาอูลดีแล้วหรือถึงเลือกซาอูล ?
3.1 ทำไม (ท่าที) เดวิดตัดสินใจไม่ประหารซาอูลถึง 3 ครั้ง ?
3.2 ท่าทีโยเซฟในการรับความผิด ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ ?

สุดท้ายผมขอให้พิจารณาอีกครั้งนะครับ
ใครกันแน่เป็นผู้กำหนดกำหนดสองมาตรฐานนี้
อย่าอ้างพระเจ้าเลยครับ ผู้เชื่อใหม่จะสับสนกันเปล่าๆ


พระเจ้าอวยพระพร... / ชินราช เชาว์พัฒนา


----------------------------------------------------------
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #371 เมื่อ: 25 พ.ค. 10, 10:54 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

พงษ์พัฒน์ กล่าวว่า เป็นรางวัลที่ได้รับบทบาทจากผู้ที่เป็นพ่อนะฮะ ก็ขออนุญาตพูดถึงพ่อนิดหนึ่งก็แล้วกันครับ พ่อเป็นเสาหลักของบ้านนะครับ บ้านของผมหลังใหญ่นะครับ ใหญ่มาก เราอยู่กันหลายคน ผมเกิดมานี่บ้านหลังนี้ก็สวยงามมากแล้ว สวยงามและอบอุ่น แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้ บรรพบุรุษของพ่อ เสียเหงื่อ เสียเลือด เอาชีวิตเข้าแลก กว่าจะได้บ้านหลังนี้ขึ้นมานะครับ จนมาถึงวันนี้ พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน และก็ดูแลความสุขของทุก ๆ คนในบ้าน

“ถ้ามีใครสักคนโกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน ผมจะเดินไปบอกไปบอกกับคน ๆ นั้นว่า ถ้าเกลียดพ่อไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ …”

นายพงษ์พัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะเมื่อกล่าวถึงตรงนี้เหล่าดารา นักแสดง และคนในวงการบันเทิงก็เริ่มปรบมือและโห่ร้องให้การสนับสนุน ขณะที่ “นก” ฉัตรชัย เปล่งพานิช เพื่อนนักแสดงถึงกับซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตากับคำกล่าวของพงษ์พัฒน์

จากนั้นนักแสดงผู้ประกาศตนอย่างชัดเจนว่ารัก เทิดทูนและพร้อมจะปกป้องในหลวงก็กล่าวย้ำอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงปรบมืออันกึกก้องว่า “เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ … ผมรักในหลวงครับ … และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ รักในหลวงเหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน”

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #372 เมื่อ: 4 มิ.ย. 10, 10:59 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น



โปรดช่วยกันเยียวยาประเทศไทย





เวลานี้ประเทศไทยของเราบอบช้ำจากพิษรักแรงหึงของบรรดาผู้ชื่นชอบตัวบุคคลและแนวทางที่ตนเองคิดว่า
"ดีกว่า" อีกฝ่าย จึงหาวิธีห้ำหั่นกันด้วยความรุนแรงทั้งคำพูดและการกระทำ

จนทำให้หน้าประวัติศาสตร์ของไทยที่เคยรักสงบมานานต้องเปลี่ยนไป



ในมุมมองของมนุษย์ "แก้วที่มันร้าว ก็ยากที่จะประสานให้เหมือนเดิม"
แต่ด้วยความเชื่อ"ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า"
(มธ.20.26,ลก.1.37)

เพราะแท้จริงแล้วชีวิตของเราแต่ละคนก่อนที่จะมารู้จักพระเจ้านั้น
เราถูกแยกจากพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เพียงแค่แก้วที่ร้าว

แต่เป็นเสมือนหุบเหวกว้างใหญ่ที่แยกเราผู้เป็นคนบาปออกจากพระเจ้าผู้บริสุทธิ์(รม.3.23,5.12,6.23)
มนุษย์ไม่สามารถที่จะคืนดีหรือมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ด้วยตนเอง

ตรงกันข้ามต้องถูกพิพากษาให้ตกลงในบึงไฟนรกตลอดนิรันดร์
นี่คือโทษทัณฑ์ที่เราสมควรได้รับ! แต่โดยพระคุณ ความรัก
และความเมตตาของพระเจ้า ผู้ไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ (2ปต.3.9)

ทรงมีความรักที่เกินกว่าจะอธิบาย
ได้ประทานพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดในโลกนี้
เพื่อเป็นค่าไถ่บาปของเรา โดยการสิ้นพระชนม์บนกางเขน
แล้วถูกฝังในอุโมงค์

แต่เช้าวันที่สามทรงเป็นขึ้นจากความตาย ปรากฏให้ผู้คนจำนวนมากรับรู้
ก่อนเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ทรงมีพระบัญชาให้สาวก ออกไปยังชนทุกชาติ

ประกาศข่าวดีนี้ให้คนได้รู้จักและกลับมาคืนดีกับพระเจ้าโดยทางพระองค์ (มธ.28.18-20)



การไถ่ การเยียวยาเกิดขึ้นได้โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ (อฟ.1.7)
พระเจ้ายกโทษความบาปผิดของมนุษย์โดยความเชื่อในพระเยซู
และทรงถือว่าเขาคนนั้นเป็นคนชอบธรรม

ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า รับชีวิตนิรันดร์
ให้เป็นพลเมืองที่สามารถเข้าเฝ้าใกล้ชิด สนิทอยู่กับพระเจ้า
ทั้งในวันนี้และอนาคตนิรันดร์ (ยน.1.12,3.16,อฟ.2)

โดยมีประสงค์ให้ประกาศพันธกิจแห่งการคืนดีนี้กับทุกคน (2คร.5.16-21)



เป็นหน้าที่ของคุณและผม
คือทุกคนที่เชื่อในพระเยซูที่จะประกาศการคืนดีให้เกิดขึ้นกับคนไทยกว่า 65
ล้านคน เพื่อให้การเยียวยาทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ แก่คนไทย

ให้พลังแห่งความรัก ความเมตตา การยกโทษ
การสมานสามัคคีเกิดขึ้นและดำรงอยู่ในสังคมของเราสืบไป
โดยเริ่มต้นจากชีวิต ครอบครัว คริสตจักร
และชุมชนรอบข้างของเราก่อน...อาเมนไหมครับ ?

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
ฉกร
เรทกระทู้
« ตอบ #373 เมื่อ: 5 มิ.ย. 10, 15:49 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

มันเป็นเรื่องของวัยวุฒิ และสิทธิของเขาที่จะที่จะมีกิจกรรมแบบนั้นได้ ไม่ได้ขึ้นกับนามสกุลหรืออื่นใด

ตอนเรียนวิศวะ เราเคยโดนอาจารย์ที่คณะข่มขืนในห้องพักอาจารย์ที่ชั้น 13 เพื่อแลกกับการผ่านวิชาภาค communication เราก็ต้องยอม LWK เจ็บมากๆแต่ก็ต้องทนไปให้ได้ ไม่งั้นคงต้องเรียนซ้ำ ที่บ้านก็ไม่มีเงินส่ง

ตอนนี้เราจบมาแล้ว เป็นวิศวกร มีงานการทำมั่นคงและมีแฟนที่เข้าใจกันดี แฟนเราบอกว่ายอมรับได้ แต่อยากจะไปยิงกระบาลอาจารย์คนนั้น เราบอกว่าช่างเถอะ เดี๋ยวกรรมก็สนองลัญเอง

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #374 เมื่อ: 19 มิ.ย. 10, 12:13 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

มีปัญหาซะให้เข็ด
โดย คุณพ่ออนุชา ไชยเดช


ทุกครั้งของการถูกเชิญไปเทศน์ "เข้าเงียบ" ผมมักมีปัญหา?

ปัญหาของผมคือเกรงว่าเป้าหมายที่ผู้รับการอบรมต้องการ
เราจะพาไปไม่ถึงหรือเปล่า บวกกับความอ่อนด้อยทางความถนัด ความสามารถ
ในเรื่องของชีวิตจิต ความวิตกจริตเกิดขึ้นเป็นระยะๆ
แต่เมื่อวิตกมากขึ้นเท่าไร สมองก็สั่งการว่า "ต้องเตรียมให้มาก"
จะเตรียมให้มากได้อย่างไรเมื่อ "เวลามีน้อยนิด"
ทางออกของผมไม่ใช่ไปบอกเลิกเขาซะ แต่ทางออกของผมทุกครั้งคือ
"เผชิญกับปัญหาอย่างรู้ตัวและแก้ไขมัน" ใช่แล้ว...ปัญหาโดยรวมมีไว้แก้
ไม่ได้มีไว้กลุ้ม โลกมีไว้เหยียบไม่ได้มีไว้แบก
คำที่ผมเลือกมาเตือนตนเองเสมอ เมื่อชีวิตพามาถึงมุมอับ

ผมจำเป็นต้องไปเทศน์เข้าเงียบให้เด็กคาทอลิกกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะจบชั้นสูงสุดของโรงเรียน
ปัญหาก็คือว่า เราเคยไปเข้าเงียบกันแล้ว อันนี้คือขอเบิ้ล
จะด้วยเหตุใดไม่ทราบ แต่การที่เด็กๆมาขอไปเข้าเงียบ ใครจะกล้าขัด
และยิ่งไม่ใช่เด็กกลุ่มนี้
แต่เป็นสถาบันแห่งนี้ที่ได้ช่วยเหลือหน่วยงานของผมไว้เสมอ
จนเรียกได้ว่าเป็นเหมือนคู่บุญกันเมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ
เพียงความคิดตื้นๆ ไม่มีเวลา ต้องทำงานหลัก ต้องอยู่สำนักงาน
ผมว่าเราคงเห็นแก่ตัวเกินไป เมื่อเริ่มต้นรับปาก
กระบวนการตระเตรียมก็เริ่มขึ้น แต่หนทางไม่ราบเรียบอย่างที่คิด

3 วันที่เราต้องใช้ร่วมกัน
วันแรกจึงเป็นเรื่องของการเดินทางไปวัดคาทอลิกให้ได้ 9 วัด
แต่การเดินทางอย่างเดียวมันไม่ท้าทายสำหรับพวกเรา ผมให้พวกเขาถ่ายรูป
บันทึกข้อความ และให้โจทย์ที่ยากไปกว่านั้นอีกคือ
เรื่องราวทั้งหมดที่ถูกบันทึกจะถูกส่งต่อไปยังสื่อบางสื่อของพระศาสนจักร
สิ่งพิมพ์ เว็บไซต์ ด้วยหัวข้อว่า "นักเรียนมัธยมปลายคาทอลิก
ทำอะไรก่อนจบ?" ในมุมหนึ่งมันคงน่าสนใจสำหรับคนอื่นเหมือนกัน
ในมุมหนึ่งถ้ามันสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับโรงเรียนคาทอลิกให้ตระหนักถึงความจำเป็นหรือความสำคัญสูงสุด
ที่มากไปกว่าคำที่ได้ยินจนขึ้นใจ เด็กไม่มีเวลาบ้าง เด็กต้องสอบ
ครูที่ไหนจะมาอยู่ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ผู้ปกครองล่ะ ฯลฯ
ปัญหาเริ่มทันทีเมื่อเราคิดไปก่อน
ผมจึงคิดว่านี่อาจเป็นบทพิสูจน์หนึ่งก็ได้ และสุดท้ายเราทำงานสื่อนี่ครับ
ไปไหนทำอะไรเราก็ต้องคิดในมุมสื่อด้วย

กิจกรรมต่อมาเป็นเรื่องของคำถามในชีวิต เนื่องจากว่าเด็กโตแล้ว กำลังจะจบ
พวกเขาควรจะสามารถตอบปัญหาต่างๆได้ด้วยตัวเขาเอง
แต่ประสบการณ์ที่ยังไม่มาก อาจทำให้การตอบไม่ชัด ไม่คม ไม่มีทางออก
ผมจึงให้เขาเขียนคำถามคนละ 1 ข้อ ผมถามด้วย
จะเป็นคำถามส่วนตัวเกี่ยวกับเพื่อน เกี่ยวกับโลก-สังคม
หรือเกี่ยวกับความเชื่อในศาสนา เราส่งคำถามนี้วนไปให้ครบทั้ง 9 คน
นั่นแปลว่าเราจะได้คำตอบถึง 8 คำตอบ และเมื่อเราได้คำตอบแล้ว
ผมให้เขาเลือกคำตอบที่โดนใจ สรุปข้อมูลลงในเอกสารที่ทำเช่นกัน

คำถามของพวกเขา เช่น

-ถ้าไม่ได้เรียนตามที่คิดจะทำอย่างไรต่อไป

-ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่เข้าใจเด็ก ทั้งๆที่เคยผ่านชีวิตวัยเด็กมาก่อน

-ทำไมในชีวิตของเรา จำเป็นจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ
และสิ่งที่เราได้ตัดสินใจไปแล้วจะดีที่สุดกับชีวิตของเราหรือไม่

-ทำไมคนในสังคมต้องเกิดการแข่งขันในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องการเรียน
เรื่องการเมือง ฯลฯ

-ถ้าไม่มีการแข่งขันจะได้หรือไม่

-ทำไมคนถึงมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร ฯลฯ

ผมว่าคำถามของพวกเขาสนุกดีนะครับ ผมยังพาพวกเขาไปดูพิพิธภัณฑ์ลังแบรต์
เดอ ลาม็อตต์ ที่อยู่ชั้น 2 ของบ้านผู้หว่าน
แม้จะถูกทิ้งไว้โดยยังไม่ได้พัฒนาอะไรต่อ
แต่สำหรับเด็กๆคาทอลิกพวกเขาเห็นรากของเขา หลังจากนั้นเราไปฟาร์มจระเข้
และแวะสวดที่สุสานศานติคาม

ความกังวลใจของผมจบลง เมื่อค่ำสุดท้ายของการสวดเทเซ่ร่วมกัน
ทุกคนแบ่งปันความรู้สึก ผมไม่แปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงอยากมาเข้าเงียบ
พวกเขามีความสุขที่ได้เรียนคำสอนจากครูคำสอนที่เอาใจใส่
พวกเขามีโรงเรียนคาทอลิกที่สนใจเรื่องศาสนาและให้โอกาสมากมายกับพวกเขา
พวกเขามีวัดที่สวยงามอยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนของเขาเอง
และพวกเขาพบว่าวัดเป็นสถานที่ที่เขามีบทบาทและมาเข้าได้บ่อยๆ
พระอยู่ใกล้พวกเขา
พวกเขาเสียดายวันเวลาหลายๆปีที่ผ่านมาแล้วมันกำลังจะหมดไปพร้อมกับการเติบโตของพวกเขา
และเมื่อพูดถึงการเข้าเงียบ พวกเขามีความสุขใจที่ได้มาเข้าเงียบ
พวกเขาแทบทุกคนบอกผมว่า
"ขอบคุณที่คุณพ่อทำให้การเข้าเงียบเป็นเรื่องสนุก"

ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
ตกลงแล้วผมเป็นคนเข้าใจถูกไหมในเรื่องของการเข้าเงียบ
ถ้ามันจะสนุกและมีความสุข
มีโจทย์เดียวสำหรับการเข้าเงียบคือเงียบใช่หรือเปล่า?
การเงียบเป็นทางเดียวที่จะพบคำตอบของการอยู่กับพระหรือ?
ผมถามตัวเองว่าผมต้องการคำตอบจริง
หรือบางทีผมอาจไม่ต้องการคำตอบอะไรมากไปกว่า
ชีวิตจริงต่างหากที่เราได้ทำให้ใครแม้เพียงแค่คนคนเดียวได้พบกับคำว่าความสุขและสันติสุขในจิตใจ
ไม่ต้องบ้าทฤษฎีเกินเหตุหรอกครับ ชีวิตคน คิดให้ง่ายๆ
ก็ไม่มีอะไรยากเกินเข้าใจ

(ติดตามเรื่องราว "นักเรียนมัธยมปลายคาทอลิก ทำอะไรก่อนจบ?" ได้ที่
www.catholic.or.th)

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 255 วันที่ 17-23 เมษายน
พ.ศ. 2553 หน้า 24 คอลัมน์ แสงธรรม โดย คุณพ่ออนุชา ไชยเดช

--

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #375 เมื่อ: 20 มิ.ย. 10, 16:11 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
FIFAสั่งแบนนักเตะบราซิลห้ามถอดเสื้อโชว์จากกรณีกาก้าที่ถอดเสื้อโชว์ข้อความ
"ชีวิตผมเป็นของพระเยซู"

อาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553 08:37 น. -- INN : ข่าวกีฬา
http://www.innnews.co.th/sport.php?nid=230367


สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ออกคำสั่งห้ามนักเตะทุกคนในฟุตบอลโลก
2010 ครั้งนี้ แสดงอาการดีใจ ด้วยการถอดเสื้อ
โชว์ข้อความที่เตรียมไว้ในเสื้อยืดที่สวมลงสนามมาด้วย โดยเฉพาะ ริคาร์โด้
กาก้า ตัวรุกคนสำคัญทีมชาติ ที่ชอบทำแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง หลังยิงประตูได้
โดยทาง สหพันธ์ฟุตบอลบราซิล ได้ออกมายืนยันว่า ทาง ฟีฟ่า
ได้ติดต่อมาขอความร่วมมือ ห้ามไม่ให้นักเตะทีมชาติบราซิล
ถอดเสื้อแสดงข้อความใดๆ ต่อหน้าสาธารณะชนโดยเด็ดขาด
ไม่ว่าข้อความนั้นจะเป็นเรื่องส่วนตัว, การเมือง หรือ ศาสนา ก็ตาม

คำสั่งดังกล่าวของ ฟีฟ่า ออกมาเพื่อไม่ต้องการให้นักฟุตบอลคนใด เผย
ข้อความชักจูงจิตใจ คนอื่นๆ ดังจะเห็นได้จากกรณีของ กาก้า
นักเตะคนสำคัญของทีมชาติบราซิล ที่มักถอดเสื้อฟุตบอล แสดงข้อความ ไอ บี
ลอง ทู จีซัส (ชีวิตผมเป็นของพระเยซู) เพื่อแสดงความขอบคุณต่อพระเจ้า
ที่ทำให้เขากลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง
หลังเคยประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงจนเกือบเป็นอัมพาต เมื่ออายุ 18 ปี

*************************

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #376 เมื่อ: 22 มิ.ย. 10, 14:17 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 


ความฝันของเปโตร
โดย ดร.ประสิทธิ์ ฤกษ์พิศุทธิ์


เรื่องที่เราจะได้คุยกันเกี่ยวกับความฝันของเปโตร
หลายท่านคงจะคุ้นเคยกับท่านเปโตรในชื่ออื่นๆ เช่น เซนต์ปีเตอร์
หรือนักบุญปีเตอร์ ล้วนแต่หมายถึงสาวกคนสำคัญของพระเยซู
เรื่องราวของท่านเริ่มมีความโดดเด่นขึ้น
หลังเหตุการณ์พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์
ในวันที่สามทรงฟื้นขึ้นจากความตาย และพระเยซูยังอยู่กับสาวกอีกสี่สิบวัน
ก่อนที่ถูกรับขึ้นไปบนท้องฟ้าท่ามกลางเหล่าสาวก จำนวน 500 คน
ตามคำยืนยันของท่านเปาโล หรือพอล

เปโตรเป็นชาวประมงเปรียบเทียบกับเปาโลถือได้ว่าเปโตรเป็นคนไร้การศึกษา
หรือมีการศึกษาระดับอ่านออกเขียนได้เท่านั้น
ความเข้าใจหลักการต่างๆในชีวิตของท่านได้มาจากการมีประสบการณ์กับพระเยซู
และเมื่อพระเยซูจากโลกนี้ไปแล้ว
ท่านก็ได้เรียนรู้หลักการในศาสนาจากการทรงนำของพระเจ้าผ่านทางการอธิษฐานและนิมิต
ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสำแดงกับท่าน

เมื่อเวลาผ่านไปความเปลี่ยนแปลงของท่านเปโตรได้สะท้อนความยิ่งใหญ่และความมหัศจรรย์ของพระเจ้าที่คนสามัญต่ำต้อยคนหนึ่งสามารถจะมีความรู้ความสามารถและมีอิทธิพลต่อผู้คนนับพันนับหมื่น
และยังอบรมสั่งสอนให้คนเหล่านี้ อยู่ในความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
ความหวังถึงแผ่นดินของพระเจ้า ที่จะมาในภายหน้า
และความเชื่อในพระเจ้าจนยอมต่อการข่มเหงและความตาย ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
ท่านเปโตรเป็นชาวยิว
ธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิวคือไม่คบค้าสนิทสนมกับคนที่ไม่ใช่ยิวหรือคนต่างชาติ
และคนยิวจะไม่เข้าบ้านหรือให้คนต่างชาติเข้าบ้าน
เพราะถือว่าคนต่างชาติเป็นคนมีมลทิน ไม่บริสุทธิ์
เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจ เพราะพระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์
จะมีส่วนกับสิ่งที่เป็นมลทินไม่ได้
ชาวยิวในสมัยของท่านจึงไม่รับประทานอาหารกับชาวต่างชาติ
ซึ่งคำว่าชาวต่างชาติถือว่าเป็นคำที่ดูหมิ่น
และปมความคิดนี้ยังเป็นปมที่เกาะติดกับความคิดของท่านเปโตร
จนมีอยู่วันหนึ่ง เปโตรอาศัยอยู่กับคนหนึ่ง ชื่อซีโมน เป็นช่างฟอกหนัง
ตึกของเขาอยู่ริมฝั่งทะเลเมืองยัฟฟา
(อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเยรูซาเลม) ประมาณเวลาเที่ยงวัน
เปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาตึกเพื่อจะอธิษฐาน ท่านก็หิวอยากจะรับประทานอาหาร
แต่ในระหว่างที่เขายังจัดอาหารอยู่ เปโตรก็เข้าสู่ภวังค์
และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง อะไรอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่
มีสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่าง คือสัตว์ที่เดิน
สัตว์เลื้อยคลาน และที่บิน มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า "เปโตรเอ๋ย
จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด เปโตรจึงทูลว่า มิได้ พระเจ้าข้า
เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้าม หรือของมลทินนั้น
ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานเลย แล้วจึงมีพระสุรเสียงเป็นครั้งที่สอง
ตรัสแก่ท่านว่า ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้าม"
เปโตรเห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง
แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปในท้องฟ้าทันที" (กิจการ 10:9-15 )

ท่านเปโตรคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างไร
ในเวลาเดียวกันนั้น
พระเจ้าก็สำแดงนิมิตให้นายทหารโรมันคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัสมาเชิญท่านเปโตรไปที่บ้าน
เปโตรจึงได้ปะติดปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้นและสรุปเป็นบทเรียนไว้ดังนี้
ท่านกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่มีอคติ" หรือแปลว่า
ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรมไม่ได้ขึ้นกับเชื้อชาติ
แต่อยู่ที่จิตใจที่ยำเกรงพระเจ้า ในที่สุดเปโตรก็รับคำเชิญของโครเนลิอัส
และพระเจ้าได้สำแดงให้เปโตรเห็นว่าพระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คนต่างชาติด้วย

จากเหตุการณ์นี้ ความหมายของเรื่องความบริสุทธิ์ที่ทำให้ความเชื่ออย่าง
หยุมหยิมซึ่งมีอยู่ในความเข้าใจของสาวกได้รับการเปิดเผย เช่น
คริสเตียนชาวยิวบางคนได้สั่งสอนว่า
ถ้าคนต่างชาติไม่เข้าสุหนัตตามจารีตของโมเสส
จะไม่ได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า และเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องบานปลาย
จนกลายเป็นว่าถ้าไม่ถือตามกฎของโมเสสก็จะไม่มีความรอด
เหตุการณ์นี้นำไปถึงเรื่องโต้แย้งทุ่มเถียงกันท่ามกลางหมู่ผู้เชื่อ
ถ้าไม่มีใครอธิบายให้กับที่ประชุมใหญ่ได้เข้าใจตรงกัน
เรื่องนี้ก็คงจะกลายเป็นรอยร้าวลึกและอาจนำไปถึงความแตกแยกของผู้เชื่ออย่างรุนแรงได้
เปโตรเป็นคนที่สามารถประสานให้ความคิดที่แตกต่างกันกลับมาเข้าใจกันได้
โดยได้อ้างถึงประสบการณ์ที่ท่านได้ประกาศข่าวดีเรื่องราวของพระเยซูคริสต์กับคนต่างชาติ
และพระเจ้าให้ความเสมอภาคกับคนต่างชาติ
โดยไม่ต้องถือธรรมเนียมปฏิบัติแบบโมเสส แต่พระเจ้าชำระใจ
ของชาวต่างชาติให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ
ทำให้ที่ประชุมมีความเข้าใจและมีความเห็นชอบร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

และจากเหตุการณ์นี้ คริสตจักรของพระเจ้าได้ขยายตัวอย่างกว้างขวาง
ถึงแม้จะมีการข่มเหงคริสตจักรมากมายแสนสาหัส
ก็ยังไม่สามารถหยุดการเติบโตของจำนวนคริสเตียนได้

จากเหตุการณ์นิมิตสรรพสัตว์ พระเจ้าได้ให้ความเข้าใจความหมายใหม่เรื่อง
ความบริสุทธิ์กับเปโตร และเปโตรได้แบ่งปันประสบการณ์ใหม่นี้กับที่ประชุม
ทำให้คริสตจักรที่ทุ่มเถียงแตกแยกกลับมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
จากความฝันเล็กๆของคนสามัญธรรมดา
ทำให้ความฝันยิ่งใหญ่ของคริสตจักรยืนยงกว่าสองพันปีมาจนถึงทุกวันนี้

วันนี้คริสตจักรยังมีความขัดแย้งและมีความเห็นแตกต่างกัน
แต่คริสตจักรก็ยังดำเนินต่อไปได้
เพราะคริสตจักรยังมีความฝันหรือมีนิมิตที่ใหญ่กว่าที่ต้องไปให้ถึง
และเราต้องไม่หยุดที่จะหาความหมายใหม่ในประเด็นที่เราโต้แย้งกันอยู่
พวกเราต้องไม่ติดกับดักความหมายเดิมๆว่าสมบูรณ์แล้ว เพราะถ้าคิดเช่นนั้น
เราจะไม่มีทางที่จะปรองดองกันได้
แต่พระเจ้ายังทรงทำงานของพระองค์อยู่ต่อไป
และทรงสำแดงแก่คนอย่างท่านเปโตร เปิดเผยกับท่าน
และให้ท่านได้อธิบายความหมายที่สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งความเข้าใจ
และการยอมรับซึ่งกันและกันจะมีมาก
จนเราจะต้องกล่าวเช่นเดียวกับท่านเปโตรว่า "ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า
พระเจ้าไม่มีอคติ"

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 255 วันที่ 17-23 เมษายน
พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ดร.ประสิทธิ์ ฤกษ์พิศุทธิ์


--

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #377 เมื่อ: 24 มิ.ย. 10, 12:55 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

Kaka นักฟุตบอลคริสเตียน

ดูภาพคลิก http://paulrudatsikira.files.wordpress.com/2008/07/kaka-i-belong-to-jesus.jpg

บอลโลกเริ่มแล้ว วันนี้ขอแนะนำทีมฟุตบอลหนึ่งที่ผมเชียร์ทุกครั้งในบอลโลก
คือ บราซิล ในครั้งนี้ขอแนะนำให้รู้จักนักเตะสุดหล่อคนหนึ่ง คือ

ริคาร์โด้ อิเซคสัน ดอส ซานโตส ไลเต้ (Ricardo Izecson dos Santos Leite)
หรือรู้จักกันในชื่อ ริคาโด้ กาก้า (Ricado Kak)
เป็นนักฟุตบอลทีมชาติบราซิล ปัจจุบันสังกัดสโมสรฟุตบอลรีลมาดริด
สวมเสื้อหมายเลข 8


ริคาโด้ กาก้าเกิดเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 1982ในบราซิเลีย ประเทศบราซิล

คำพยานชีวิต kaka

เนื่องจากเกิดและโตในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ แตกต่างจากนักเตะคนอื่นๆ
ในทีมที่มาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะยากจน
แต่ความแตกต่างทางฐานะก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใดเนื่องจากกาก้า
เองก็มีความรักในนักฟุตบอลอาชีพ และทุ่มเทเพื่อความฝันไม่น้อยกว่าใคร

ในกันยายน ปี 2000 เมื่อ กาก้าอายุได้ 18 ปี
เขาเกือบจะจบเส้นทางลูกหนังของเขาไปแล้ว
เมื่อประสบอุบัติเหตุในขณะที่กระโดดน้ำมาจากสปริงบอร์ด แต่ลงผิดจังหวะ
ทำให้ข้อกระดูกสันหลังแตกจนทำให้เกือบเป็นอัมพาต ในช่วงนั้นเขา
พักเยียวยาตัวเอง และเมื่อวันอาทิตย์มาถึง
ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าโบสถ์บ่อยกว่าเดิม

หลังจากนั้น1 ปี อาการบาดเจ็บดังกล่าวก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง
และกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง ในเกม ทอร์เนโร่ ริโอ นัดชิงชนะเลิศ
โดยโค้ชส่งเขาลงเล่นเป็นตัวสำรองในช่วง 14 นาทีสุดท้าย ที่ทีมต้นสังกัด
เซาเปาโล ตามหลังคู่แข่งอยู่ 1ประตู และจากการตัดสินใจของโค้ช เซาเปาโล
ที่ส่ง กาก้า ลงสนามนั้น ผู้บรรยายในสนาม Commenter
ที่กำลังบรรยายเกมอยู่ถึงกับพูดออกมาว่า โค้ช เซาเปาโล นั้นต้องบ้าแน่ๆ
แต่หลังจากนั้น 2 นาที กาก้า ก็จัดการปิดปากผู้บรรยายรายนี้ด้วยการยิง
2ประตูช่วยให้ทีมพลิกมาคว้าชัยได้อย่างเหลือเชื่อ กาก้า
ให้เหตุผลการกลับมาในครั้งนี้ว่า เป็นผลมาจากการที่เขาเข้าโบถส์บ่อย
จนได้รับของขวัญจากพระเจ้า

และหลังจากวันนั้นชีวิตก็ไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะพระเจ้าที่เขาเชื่อมีแผนการที่ดีต่อเขา จากอุบัติเหตุครั้งนั้น
ทำให้ความเชื่อ และวางใจของเขาที่มีต่อพระเยซูยิ่งเพิ่มพูน
จนกลายเป็นความเชื่อที่เข้มแข็ง จะเห็นได้ว่า
เมื่อทุกครั้งที่เขายิงประตูได้
เขาจะชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อแสดงความขอบคุณต่อพระเจ้าที่ช่วยเหลือการยิงแต่ละลูกของเขา
และมากไปกว่านั้น หากแมชท์นั้นเป็นการแข่งขันในระดับสำคัญของประเทศ สโมสร
หรือระดับโลก เช่น ในปี 2004 คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา กับเอซี มิลาน
คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ในปี 2002 ให้กับทีมชาติบราซิลที่ประเทศเกาหลี
และญี่ปุ่น (นักฟุตบอลทีมชาติบราซิลชุดนี้
เกินครึ่งเป็นคริสตเตียนที่เข้มแข็ง) เป็นต้น
เขากล้าแสดงออกมากกว่าใครๆด้วยการถอดเสื้อของโมสรออก
แล้วโชว์เสื้อยืดอีกตัวที่เขาสวมไว้ข้างใน ซึ่งมีข้อความเขียนเอาไว้ว่า
I Belong to Jesus หมายถึง ชีวิตผมเป็นของพระเยซู
สิ่งนี้แสดงถึงจิตใจภายในตัวกาก้าว่า เขามีความมั่นคงในพระเยซู
เป็นคริสตเตียนแท้ ที่กล้าจะแสดงจุดยืนในความเชื่อของเขา
และนอกจากนี้ยังสามารถพิสูจน์ได้อีกว่าเขามีชีวิตส่วนตัวกับพระเจ้าอย่างแน่นแฟ้น
จนพระเจ้าอวยพรเขาให้เป็นหัวมิใช่หาง
ตามที่พระองค์ทรงสัญญาต่อคนที่รักพระองค์ ไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ .....
"จะเกิดผลดีในทุกสิ่ง"....

เขียนโดย ปัทมโรจน์ มากสุริวงศ์


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #378 เมื่อ: 25 มิ.ย. 10, 11:53 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
"กินกับหลับ"คุณจะเลือกอะไร?

โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์


"พ่อฉันบอกไว้ว่า ในโลกนี้มีคนอยู่ 2 ประเภท หนึ่งคือผู้ให้ และสองคือ
ผู้รับ ผู้รับนั้นอาจกินดีกว่า แต่ผู้ให้หลับสนิทกว่า" (My father said
there were two kinds of people in the world: givers and takers. The
takers may eat better, but the givers sleep better.) - Marlo Thomas -

ผมว่าข้อคิดข้างต้นน่าสนใจทีเดียว แต่จริงหรือที่โลกนี้มีคนแค่ 2 ประเภท?

จริงหรือที่มีคนกลุ่มหนึ่งเอาแต่รับโดยไม่เคยให้อะไรเลย และในขณะเดียวกัน
มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่รับอะไรจากใคร นอกจากให้อย่างเดียว?
ในโลกแห่งความเป็นจริง คงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แต่คงจะมีคนประเภทหนึ่งที่มุ่งจะรับมากกว่าให้ ในขณะที่คนอีกประเภทหนึ่ง
ให้คุณค่าของการให้สูงกว่าการรับ

หากว่ามีบางคนเอาแต่รับ ในขณะที่มีบางคนเอาแต่ให้แก่ผู้อื่น
โดยไม่ยอมรับอะไรเลย
คนประเภทแรกอาจเป็นคนเห็นแก่ตัวที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคม
ส่วนคนประเภทหลัง
ถ้าไม่ใช่คนขาดสติก็ต้องเป็นวีรบุรุษผู้เป็นแบบอย่างแห่งการเสียสละ

จริงๆแล้วหลักจริยธรรมแห่งการให้เป็นหลักธรรมหลักที่ประจักษ์ชัดในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
โดยมีหลักการพื้นฐานข้อหนึ่งคือ "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"

หากว่าหัวใจของ "ความรัก" คือ "การให้" เราก็อาจจะพูดใหม่ได้ว่า
"จงให้แก่เพื่อนบ้านเหมือนให้แก่ตนเอง" นั่นคือ
คนเราต้องรู้จักรักตัวเองให้ถูกต้องก่อน
จึงจะรักคนอื่นอย่างถูกต้องได้เช่นกัน
หรือต้องรู้จักให้แก่ตัวเองหรือครอบครัวของตนอย่างเหมาะสมก่อน
จึงจะให้แก่ผู้อื่นอย่างเหมาะสมได้เช่นกัน

คนที่ "ให้" และ "รับ" ความรักเป็น จะเป็นสุข
คนที่รู้จักแต่รับๆโดยไม่ยอมให้ จะโดดเดี่ยว และเป็นทุกข์
เพราะคงไม่มีใครจะให้เราได้ทุกเรื่อง ทุกเวลาเสมอไป

ในทำนองเดียวกัน คนที่รู้จักแต่ให้ๆโดยไม่ยอมรับ
จะเป็นที่น่ารำคาญของคนอื่น และจะเป็นทุกข์เช่นกัน
เพราะผู้ที่รับจากเราตลอดเวลาโดยที่ไม่มีโอกาสให้อะไรแก่เราเป็นการตอบสนองบ้างเลย
จะรู้สึกอึดอัด จนหงุดหงิดเช่นกัน

ดังนั้น จึงย้ำอีกครั้งว่า คนเราต้องรู้จักทั้งการให้และการรับ
และจริงๆแล้วไม่ว่าจะให้หรือจะรับ
ถ้ากระทำด้วยความเต็มใจก็ล้วนแต่นำมาซึ่งความสุขทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าองค์พระเยซูคริสต์ตรัสชัดเจนว่า..."การให้ก็เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

ฉะนั้นหากเป็นจริงตามที่คุณ Marlo Thomas กล่าวไว้
การรับจะนำความสุขระดับ "กินดี-อยู่ดี" มาให้ ส่วนการให้
จะนำความสุขระดับ "หลับดี-หลับสนิท" มาให้

จึงขึ้นอยู่กับตัวของคุณว่า คุณจะเลือกความสุขระดับใด?
แต่หากคุณถามยอดปราชญ์อย่างปัญญาจารย์ในสมัยโบราณ
ท่านจะตอบคุณชัดแจ้งดังนี้ว่า

"การหลับ ของกรรมกรก็ผาสุก ไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก
แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ" (ปัญญาจารย์ 5:12)

ดังนั้น หากผมต้องเลือก คุณคงรู้แล้วนะครับว่า ผมจะเลือกอะไร?

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับ 264 วันที่ 19-25 มิถุนายน
พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พลังชีวิต โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #379 เมื่อ: 26 มิ.ย. 10, 11:45 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

การฟื้นฟูจิตวิญญาณจริงหรือ? ตอน :
ล้มในพระวิญญาณ!

ธวัช เย็นใจ

"การฟื้นฟูในรูปแบบใหม่! เชิญรับการสัมผัสจากพระเจ้า
การเปลี่ยนแปลงในชีวิตคริสเตียนของท่าน

โดยทีมงานของคริสตจักรที่มีการฟื้นฟูทุกคนอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานับปี
และเป็นสื่อของการฟื้นฟูไปทั่วโลก"

นี่เป็นคำโฆษณาเชิญชวนให้คริสเตียนไปร่วมประชุมฟื้นฟูเพื่อ
"ล้มในพระวิญญาณ!"

ระหว่างที่มีการฟื้นฟู คนก็นิ่งไปและไหลลงไปนอนราบกับพื้น บางคนกระตุก
บางคนส่งเสียงแปลกๆ...คนที่ได้รับการอธิษฐานส่วนมากจะล้มลงไปนอนกับพื้น
การล้มลงไปนอนแบบนี้เรียกว่า การพักในพระวิญญาณ

คนที่มาอธิษฐานให้นั้นจะมีผู้ช่วยอีกคนหนึ่งมายืนด้านหลัง
เพื่อรับคนที่มักจะล้มลงเมื่อรับการอธิษฐาน
คนที่รับการอธิษฐานจะมีบางคนที่ยืนเฉยๆ หรือยืนสั่น
แต่ส่วนใหญ่จะล้มลงไปนอนสงบ จะมีบางคนนอนหัวเราะ
บางคนก็ไม่มีแรงลุกขึ้นจากพื้น เป็นเวลานานหลายชั่วโมง
การฟื้นฟูแบบนี้มาจากพระเจ้าหรือจากผีมารซาตาน?

มีคำถามว่า การประชุมแบบนี้ถูกต้องตามหลักคำสอนของพระคัมภีร์หรือไม่?
เพราะในโลกทุกวันนี้มีวิญญาณเท็จจำนวนมากที่เร่ร่อนไปทำการอัศจรรย์ต่างๆ
โดยแอบอ้างพระนามของพระเยซูคริสต์
หรือเป็นเพียงการชักจูงหรือเร้าอารมณ์
เป็นการอาศัยวิชาทางด้านจิตวิทยาไหม?
หรือว่ามีการตรียมการมาเพื่อแสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้น โดยมีการจัด
"หน้าม้า" มาทำให้มันดูเหมือนจริงและน่าเชื่อถือ!

กลุ่มฟื้นฟูฯอ้างว่า เมื่อมีการสำแดงจากพระเจ้าจะมีการล้มลง
สาเหตุแห่งการล้มลงได้แก่
- พวกเขากลัวในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
- เพื่อเป็นการบังคับให้นอน อันเนื่องมาจากความเย่อหยิ่งและกบฏของมนุษย์
- เพื่อให้พักผ่อนหรือรับการรักษา
- การล้มไปข้างหลังอันเนื่องมาจากน้ำหนักพระสิริของพระเจ้า

คำกล่าวอ้างเหล่านี้ฟังเข้าทีดี
แต่ว่าเราต้องหาหลักฐานที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์
มีบ้างไหมที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงเรื่องเหล่านี้?

ข้อสังเกต :
กลุ่มฟื้นฟูฯ(ผงทองคำ)เหล่านี้มักจะอ้างพระคัมภีร์ตอนหนึ่งว่า
"มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง
ข้าพเจ้าคาดว่า แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่เขียนนั้น" (ยน.
๒๑.๒๕) พวกเขาก็เลยตีความว่า
การอัศจรรย์บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้
เกิดขึ้นในสมัยพระคัมภีร์ แต่ไม่ได้บันทึกไว้!
ถ้าเป็นซะอย่างนี้แล้ว ก็เท่ากับพูดว่า
พระคัมภีร์ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นะซิ?
โอ...ชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว พี่น้องเอ๋ย!

ข้ออ้างว่า เอเสเคียลล้มลง
ผู้นำกลุ่มการฟื้นฟูจิตวิญญาณแบบที่กล่าวมาแล้วนี้
ได้อ้างพระคัมภีร์เดิมบางตอน ซึ่งก็ไม่ชัดเจนพอว่ามีการล้มในพระวิญญาณ
แต่อธิบายแบบเอา "สีข้างเข้าถู" โดยอ้างจากเอเสเคียล ๔๔.๔
ที่เอเสเคียลได้สัมผัสกับพระสิริของพระเจ้าในพระวิหารแล้วท่านก็กล่าวว่า
"ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน"
พระคัมภีร์ตอนนี้บอกชัดเจนว่า
(๑) เอเสเคียลได้พบกับพระสิริของพระเจ้า แล้วท่านก็ซบหน้าลงถึงพื้น
มิใช่เป็นการล้มหงายไปข้างหลัง
(๒) เอเสเคียลล้มลงไปเอง โดยไม่ต้องมีใครมาอธิษฐานวางมือที่หัวหรือไหล่
(หรือผลักหน้าผาก ผลักอก
หรือคนรอรับเข้ามาใช้เข่าดันที่ข้อพับขาด้านหลัง)
เป็นการซบหน้าลงด้วยความยำเกรงพระเจ้า
(๓) เอเสเคียลล้มลงไปโดยที่ไม่ต้องมีใครคอยมาอุ้มหรือรองรับ
ต่างจากกลุ่มฟื้นฟูจิตวิญญาณในสมัยปัจจุบันที่จะต้องจัดเตรียมคนมาคอยรับด้านหลัง
เพราะเกรงว่าศีรษะของผู้ถูกวางมือจะกระแทกกับพื้น และเป็นอันตรายต่อสมอง


การพักผ่อนในพระวิญญาณ
ผู้นำของกลุ่มการฟื้นฟูฯอ้างว่า "การที่คนของพระเจ้าล้มลงนั้น
เป็นการตอบสนองทางด้านร่างกายต่อการสำแดงหรือการสถิตอยู่ของพระเจ้า...ปรากฏการณ์ที่ชัดเจนมากที่สุดในการประชุมของพวกเขา
คือการล้มลง มักจะเรียกว่า การพักผ่อนในพระวิญญาณ จะยังคงมีสติ
แต่ติดต่อกับพระเจ้า พวกเขาจะรู้สึกหมดเรี่ยวแรงและไม่สามารถทำอะไรได้
นอกจากพักผ่อนกับพระเจ้า เมื่อพวกเขาได้นอกพักในพระเจ้าแล้ว
ชีวิตของพวกเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก"
อ้างอับราฮัม
มีการอ้างพระคัมภีร์(แบบน้ำขุ่นๆ)จากประสบการณ์ของอับราฮัม
"อับราฮัมก็หลับสนิท" (ปฐก. ๑๕.๑๒) โดยอธิบายจากภาษาฮีบรูว่า
เป็นการหลับสนิทอย่างแท้จริง
เหมือนเมื่อพระเจ้าทรงบันดาลให้อาดัมหลับสนิท (ปฐก. ๒.๒๑)
ทำให้เกิดความสงสัยว่า
ตอนแรกเขาบอกว่าการล้มลงเป็นการพักผ่อนในพระวิญญาณ จะยังคงมีสติ
แต่น่าแปลกใจว่า คนหลับสนิทจะมีสติได้อย่างไร?
มีใครบ้างที่หลับสนิทแต่ยังมีสติอยู่?
คำพูดนี้มันขัดแย้งในตัวมันเองอย่างชัดเจน

อ้างทหารยาม ผู้นำกลุ่มกาฟื้นฟูฯได้ยกพระคัมภีร์มัทธิวบทสุดท้าย
"ยามที่เฝ้าอุโมงค์(พระศพของพระเยซู)กลัวทูตสวรรค์องค์นั้นจนตัวสั่น
และเป็นเหมือนคนตาย" (มธ. ๒๘.๔)
ถ้าอ่านให้ดีจะพบว่า
นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า(พวกทหารโรมัน)
พวกเขาเป็นศัตรูกับพระเยซูคริสต์
ท่าทีต่างจากอาการสั่นของผู้เชื่อในขณะที่นมัสการพระเจ้า!

อ้างเปาโล กลุ่มการฟื้นฟูฯได้เรื่องของเซาโลมาเป็นตัวอย่าง
"เซาโลก็ล้มลงถึงดิน และได้ยินพระสุร เสียงตรัสมาว่า เซาโล เซาโลเอ๋ย
เจ้าข่มเหงเราทำไม?" (กจ. ๙.๔) นี่ก็มาอีหรอบเดียวกัน
เนื่องจากเวลานั้นเปาโลเป็นฟาริสีและเกลียดชังพระเยซูยิ่งนัก
จึงพยายามข่มเหงผู้เชื่อและไล่จับคริสเตียนมาขังคุก
หากมีการต่อต้านขัดขืนก็จะฆ่าให้ตาย
พดง่ายๆก็คือต้องการทำลายคริสเตียนให้สิ้นซาก!
แต่ขอให้ผู้อ่านสังเกตว่า เปาโลไม่ได้ล้มลงในขณะอธิษฐาน
นมัสการและสรรเสริญพระเจ้า ดังนั้น
เราจะเอาเรื่องของเปาโลมาเทียบกับเรื่องล้มในพระวิญญาณไม่ได้หรอก
มันคนละกรณีกัน พวกกลุ่มฟื้นฟูไม่มีความมารู้ในพระคัมภีร์อย่างแท้จริง
จึงพยายามโยงใยและจับแพะชนแกะ

อ้างซาอูล
กลุ่มฟื้นฟูฯได้ยกเอาเรื่องที่ของซาอูลเผยพระวจนะและบรรทมเปลือยกายอยู่ตลอดคืน
(๑ ซมอ. ๑๙) ว่านั่นเป็นภาพเดียวกับการล้มลงในพระวิญญาณ
ฟังดูแล้วมันน่าขบขันนะ จะว่าน่าเกลียดน่าชังด้วยซ้ำไปก็ว่าได้
แค่ถูกวางมือและล้มลงไปคนเขาก็หาว่าคริสเตียนบ้า(หรือถูกผีเข้า)พออยู่แล้ว
นี่ถ้าคริสเตียนเลียนแบบซาอูลโดยเปลื้องผ้าเปลื้องผ่อนและนอนลง
พวกเราไทยซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันแล้ว!

.................................................
ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนไทย
มีเบื้องหลังจากขนบธรรมประเพณีที่ดีและงดงาม มีความสุภาพอ่อนน้อม
สงบเสงี่ยม สุขุมคัมภีร์ภาพ เรื่องของศาสนาถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ล้ำลึก สงบเงียบ เยือกเย็น สุขใจ และมีคุณค่าทางด้านจิตวิญญาณ
เราต้องระมัดระวัง ของประทานฝ่ายวิญญาณที่ถูกใช้อย่างเดินขอบเขตนั้น
ย่อมส่งผลเสียต่อตนเองและต่อส่วนรวม!

การที่เราจะมานมัสการพระเจ้าแบบต้องกระโดดโลดเต้น ร้องตะโกน
โวยวายโหวกเหวก กรีดเสียง


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #380 เมื่อ: 2 ก.ค. 10, 14:12 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ดิฉันได้อ่านบทความเรื่องล้มในพระวิญญาณที่พี่น้องมาโพสต์ไว้ทุกฉบับ
มีทั้งไม่เห็นด้วยและเห็นด้วย ในความคิดของดิฉันนั้น ดิฉันคิดว่า
ไม่ว่าใครจะมีประสบการณ์อย่างไร
คนที่มีประสบการณ์ก็ไม่ควรไปตัดสินคนที่ไม่มีประสบการณ์
ส่วนคนที่ไม่มีประสบการณ์ก็ไม่ควรไปตัดสินคนที่มีประสบการณ์
ถ้าใครที่ล้มในพระวิญญาณแล้วทำให้ชีวิตของเขาเติบโตกับพระเจ้ามากขึ้น
รักพระเจ้ามากขึ้น รักษาตัวให้บริสุทธิ์กับพระเจ้าได้มากขึ้น
คนที่ไม่ล้มก็ไม่ควรไปตัดสินว่าเขาทำผิด
ส่วนคนที่ล้มหรือมีประสบการณ์ในทำนองนี้
ก็ไม่ควรไปตัดสินหรือดูถูกคนที่ไม่ล้มว่าไม่โต ไม่เคลื่อนกับพระเจ้า
ไม่ลึกซึ้งกับพระเจ้า หรืออะไรก็ตามที่เป็นการตัดสิน
คนที่ไม่ล้มแล้วโตกับพระเจ้าก็มีมากมายถมไป ในฐานะคริสเตียนจะไทยหรือเทศ
เราต้องเข้าใจว่าวัฒนธรรมของผู้ใดควรเป็นสิ่งที่เราต้องยึดถือ
ของมนุษย์หรือของพระเจ้า?
เรารักษาวัฒนธรรมทุกอย่างที่ไม่ขัดกับพระคัมภีร์ใช่ไหม?

ข้าพเจ้าไม่คิดว่าการเต้น หรือปรบมือ เพื่อสรรเสริญพระเจ้า
หรือแม้แต่ตะโกนโห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดีในพระเจ้า
จะสร้างความอับอายให้กับพระเจ้าตรงไหน แม้ว่าจะมีคริสเตียนที่อับอายก็ตาม
ถ้าหากคนเหล่านั้นทำด้วยหัวใจที่รักพระองค์ และไม่ได้ต้องการโชว์ออฟ
(อวด) และไม่ได้ทำเพราะเป็นความเคยชิน ในเรื่องนี้กับวัฒนธรรมไทย
ข้าพเจ้าเห็นเพียงอย่างเดียวที่ต้องระมัดระวัง คือ เรื่องกาลเทศะ
เวลาและสถานที่ที่เหมาะสม หมายความว่า ในเวลาหนึ่งๆ
ที่คนๆหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งๆ รู้สึกว่าพระเจ้าสัมผัสให้อยากโห่ร้อง หรือ
เต้นโลด แต่ปรากฎว่าในที่ประชุมแห่งนั้นไม่ได้อยู่ในกระแสเดียวกัน
ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าผลของพระวิญญาณคือการบังคับตัวเองได้ก็สามารถใช้ได้ในเวลานั้น
นี่เข้าหลักการที่พระคัมภีร์บอกเราว่า "อย่าทำให้พีน้องสะดุด"
ท่านจะกินอะไรต่อหน้าพี่น้องแล้วทำให้พวกเขาสะดุด ท่านก็อย่ากินเลยดีกว่า
เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน การล้มในพระวิญญาณ ไม่ใช่การเป็นลมหมดสติ
ท่านรู้สึกตัวและท่านก็ควบคุมตัวเองได้
แต่บางท่านบอกว่าไม่อยากขัดการเคลื่อนของพระวิญญาณ
ถ้าอย่างนั้นในที่ประชุมอย่างที่กล่าวข้างต้น
ท่านก็ควรปลีกตัวออกไปหาที่ส่วนตัวเพื่อปล่อยให้พระเจ้าทำงานภายในคุณอย่างเต็มที่
ถ้าเป็นที่ประชุมที่อยู่ในกระแสเดียวกันและเปิดอย่างเต็มที่
ท่านจะล้มยังไงก็ไม่มีปัญหา จะเต้นสุดเหวี่ยงแค่ไหนก็ไม่เป็นอะไร

พี่น้องที่รัก พระเยซูบอกว่า เรารู้จักต้นได้ด้วยผลของมัน
ขออย่าให้เราตัดสินกันที่รูปแบบภายนอกหรือวิธีการ (ที่ไม่ใช่ความบาป)
แต่ขอให้เราดูผลที่เกิดขึ้นตามมาในชีวิตของผู้คนดีกว่าไหม?
การนมัสการแบบเงียบๆ สำรวม ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของท่านจะไม่เติบโต
หรือในทางตรงกันข้าม การนมัสการแบบเต้นโลด
แสดงความรู้สึกเต็มที่ต่อพระเจ้า
ก็ไม่ได้ทำให้เติบโตมากกว่าอีกรูปแบบหนึ่ง คนจะลึกซึ้งกับพระเจ้าหรือไม่
ท่าทางหรือการแสดงออกภายนอกเป็นเพียงองค์ประกอบเสริมอย่างหนึ่ง
องค์ประกอบหลักและสำคัญคือหัวใจของเราในขณะที่ทำสิ่งเหล่านั้นมากกว่า

ขอให้เราอวยพรกันและกัน
ขนาดคนนอกครอบครัวของพระเจ้าที่พวกเขาทำบาปกันหนักหนา
แบบว่าผิดพระคัมภีร์อย่างเห็นชัดๆ เรายังอธิษฐานอวยพรพวกเขาได้
แล้วทำไมเราที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน มีความคิดที่แตกต่างกัน
แต่มีพ่อคนเดียวกัน แค่น้องทำไม่เหมือนกับพี่
เราจะตอบสนองด้วยกันตัดสินกันหรือ ใครทำอะไรแล้วทำให้เขาโตกับพระเจ้า
มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และทำให้ถูกที่ ถูกเวลา
แม้ว่าไม่เหมือนกับเรา ก็ให้เราอวยพรกันและกันดีกว่าไหม?

ขอพระเจ้าอวยพระพรพี่น้องคริสเตียนทุกท่าน ไม่ว่าจะอยู่ในกระแสใด
ขอให้ท่านซาบซึ้งในความรักของพระเจ้าและก้าวสู่ความไพบูลย์แห่งสง่าราศีของพระองค์
เพื่อเราจะเป็นเจ้าสาวผู้ทรงงดงามของพระองค์ผู้เป็นเจ้าบ่าวในวันที่พระองค์ทรงเสด็จกลับมา

ผู้รับใช้ของพระคริสต์
สิริรัตน์ ภู่ชัย


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #381 เมื่อ: 7 ก.ค. 10, 11:20 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
Subject: แบ่งปันประสบการณ์ การประกาศพระนามพระเยซูคริสต์


เรียน บก ข่าวคริสตชน

ขอแบ่งปันประสบการณ์และคำพยาน การประกาศพระนามของพระเยซูเจ้าอีกรูปแบบหนึ่งครับ

พระเยซูคริสต์ไม่ใช่พระเจ้าทางศาสนาที่ตายไปแล้ว และช่วยใครไม่ได้
แต่เป็นพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่และสามารถช่วยทุกคนที่ถ่อมตัวลงแสวงหา
เรียกหาพระองค์ได้ ผมและครอบครัวขอเป็นพยานด้วย บทความนี้และ
ด้วยภาพถ่ายวีดีทัศน์เหล่านี้

ถ้าท่านเชื่อพระ เยซูท่านจะพ้นจากเคราะห์กรรมเวรกรรม ไม่ต้องไปชดใช้กรรม
ไม่ต้องไปปล่อยปลาไหล ปล่อยนก ปล่อยเต่าเพื่อสร้างบาปซ้อนบาป
เพราะการทำอย่างนั้น มันยิ่งเป็นการสร้างบาปสร้างกรรมแก่สัตว์เหล่านั้น
เพราะมันถูกจับมาเพื่อให้คนเอาไปปล่อยในที่ที่มันไม่คุ้นเคย
ไม่มีแหล่งอาหารที่มันรู้จัก แล้วพวกมันจะสามารถมีชีิวิตอยู่ได้อย่างไร
ศาสนาและ ไสยศาสตร์สอนให้คนทำดี แต่มีใครทำดีไม่มีบาปได้บ้าง

พระเยซูสอนว่า ถ้าท่านทั้งหลายวางใจในเราท่านทั้งหลายจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตอันเป็นอมตะ
ท่านไม่ต้องเอาเงินไปซื้อบุญกับศาสนาใดๆ รวมทั้งศาสนาคริสต์ด้วย
เพราะพระเจ้าไม่ได้ตัดสินมนุษย์ด้วยการมีบุญมาก หรือมีบุญน้อย
แต่พระเจ้าจะช่วยคนเหล่านั้นทุกคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป ช่วยตัวเองไม่ได้
ถูก โรคร้ายวิญญาณผี รบกวน ขอให้ท่านมาหาพระเยซู พระองค์ช่วยท่านได้อย่างแน่นอน

อ่านต่อที่นี้ Readmore at
http://reewat.blogspot.com/2010/07/casting-out-demons-and-healing-sick-no_04.html
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #382 เมื่อ: 13 ก.ค. 10, 13:21 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

แตกต่างแต่ไม่แตกแยก!

ธวัช เย็นใจ

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความเรื่อง "การล้มในพระวิญญาณ"
ลงในเว็บไซต์ของคริสตชนไทยและในเว็บไซต์ของผมเอง (www.thaisermons.com)
ปรากฏว่าหลังจากนั้นมีเสียงตอบรับเซ็งแซ่ ทั้งด้านบวกและด้านลบ
คือมีหลายคนเห็นด้วยตามหลักการของพระคัมภีร์ แต่ก็มีหลายคนคัดค้าน
ขุ่นเคืองใจและรุ่มร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ
ผมถือว่านี่เป็นเรื่องของประชาธิปไตยของคริสเตียนครับ
ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องเห็นด้วยกันจึงจะถือว่าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้
สุภาพสตรีท่านหนึ่งอ่านบทความเรื่องนี้(ทั้งๆที่ไม่ค่อยสนใจอ่านเรื่องราวของคริสเตียนแบบนี้เท่าไหร่)และเขียนมายาวเหยียดบอกว่าทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามานั้น
เห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์ แต่บางคนก็บอกด้วยความตกอกตกใจว่า หยุดเถอะ
อย่าเถียงกันในเรื่องนี้เลย เพราะไม่เสริมสร้างจิตวิญญาณ (โอว..โฮลี่
โฮลี่!)
มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งชื่ออาจารย์รีวัฒน์ ได้กรุณาเขียนจดหมายไฟฟ้า (E-
Mail) มาบอกว่า "คุณธวัช เย็นใจ คุณเป็นนักเขียนที่ก่อให้เกิดความแตกแยก
และผมจะไม่อ่านหนังสือของคุณธวัชอีกต่อไป
เพราะไม่เชื่อในเรื่องฤทธิ์เดชของพระเจ้า" ผมก็เลยต้องตอบท่านไปว่า
ประการแรก สิ่งที่ท่านบอกมานั้นผมขอบคุณอย่างมาก แต่ขอปฏิเสธเด็ดขาดว่า
มิได้มีเจตนาให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มคริสเตียนแต่อย่างไร
เป็นเพียงแสดงความคิดเห็นเท่านั้น ผมเห็นว่าเป็นอย่างนี้
ถ้าท่านเห็นเป็นอย่างอื่นก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้
จากนั้นเราจะพากันไปหาหลักฐานจากในพระวจนะของพระเจ้าด้วยกันและถือว่าพระคัมภีร์เป็นข้อยุติ
(ตกลงไหมครับ?)
ประการที่สอง ท่านบอกว่า คุณธวัชไม่เชื่อในเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
ผมคิดว่านั่นเป็นการด่วนสรุปเกินไป
เพราะท่านแทบจะไม่รู้จักผมเลยว่ามีหัวนอนปลายเท้าและความเป็นมาอย่างไร
อยากจะเล่าประวัติสักนิด ตอนเป็นวัยรุ่นนั้นผมทำบาปทำชั่วสารพัด
เป็นนักดื่มตัวยง นักเที่ยวกลางคืน ติดยาเสพติด
มั่วเซ็กส์และถูกจองจำอยู่ในคุกนานนับปี หลังจากพ้นโทษมาแล้ว
วันหนึ่งผมก็ได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์ ได้สัมผัสกับความรัก พระคุณ
สันติสุขและรอดพ้นจากความผิดบาป มีชีวิตนิรันดร์
นี่คือฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ผมสามารถสัมผัสแตะต้องได้
และฤทธิ์อำนาจนี้ดำรงอยู่ในตัวผมจนถึงทุกวันนี้ครับ
ขอบพระคุณพระเจ้า
ที่ผมมีโอกาสไปเรียนพระคัมภีร์ถึงสองสถาบัน(แต่ไม่จบสักแห่ง)
ต่อมาอีกหลายปีเขาสงสารจึงให้ประกาศนียบัตรมาหนึ่งใบ
ปริญญาตรีศาสนศาสตร์หนึ่งใบ
และปริญญาโททางด้านศิษยาภิบาลศาสตร์(M.Min)อีกหนึ่งใบ
แต่จำไม่ได้ว่าเอาแผ่นกระดาษเหล่านี้ไปเก็บไว้ที่ไหน
คงจะทิ้งอยู่แถวห้องเก็บของใต้บันไดที่ไหนสักแห่ง!
เมื่อได้ถวายตัวและรับใช้พระเจ้ามานานหลายปี (รับใช้พระเจ้าตั้งแต่อายุ
๒๒ ปีจนปัจจุบันเลย ๖๐ปีแล้วครับ-แฮ่!) เคยทำงานหลายอย่าง
ทั้งองค์การและคริสตจักร
สอนในสถาบันพระคริสตธรรมและตั้งคริสตจักรหลายแห่ง
ได้พบได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้ามากมาย เช่น การหายโรค การพูดภาษาแปลกๆ
(นั่นต้องเป็นของจริงนะครับ) การขับผีวิญญาณชั่ว ฯลฯ
ผมเชื่อเรื่องเหล่านี้อย่างไม่มีข้อสงสัย
เพระมีบันทึกไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์
แต่ถ้าอะไรที่ไม่ปรากฏในพระคัมภีร์หรือคลุมเครือก็เพียงตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน
และเสนอความคิดเห็นออกมาเป็นบทความหรือข้อเขียน...ก็แค่นั้น!
เปาโลบอกแก่สมาชิกในคริสตจักรโครินธ์ว่า
"พวกท่านต้องพูดด้วยความละอายว่า เราอ่อนแอเกินไป" (๒ คร. ๑๑.๒๑)
ผมขอพูดตรงๆเหมือนกันว่า คริสเตียนไทยเรา(หลายคน)ก็อ่อนแอเกินไป
เปราะบางมาก มักมองเพียงแง่มุมเดียว ขี้น้อยอกน้อยใจ
เหมือนไข่ในหินที่ต้องคอยโอ๋ตลอดเวลา อ่อนไหวง่ายเหลือเกิน
ใครแตะต้องไม่ค่อยได้ บางครั้งดันทุรัง และไตร่ตรองน้อย
หลับหูหลับตาเชื่อไปเรื่อย แล้วแต่ผู้นำจะจูงจมูกไปทางไหน
โดยไม่ได้ศึกษาค้นคว้าพระคริสตธรรมคัมภีร์ให้ถ่องแท้
เพื่อจะรู้แจ้งเห็นจริง แบบนี้น่าเป็นห่วงจริงๆ
มันเหมือนกับพวกที่เดินขบวนปิดถนนประท้วงเย้วๆ
หลงคารมของแกนนำกับนายใหญ่ที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างในแดนไกล
และคนกลุ่มนี้เอาแต่ฟังความข้างเดียว
ผู้คนก็เลยบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตเหมือนผักเหมือนปลา
บ้านเมืองก็วินาศสันตะโรลุกเป็นไฟไง!
ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณจะต้องต้านแรงเสียดทานได้ดี
มีคนบอกผมว่าแกะตัวที่แข็งแรงที่สุดจะเบียด ดัน
และแทรกตัวเองไปอยู่ตรงกลางฝูง ซึ่งเป็นที่ปลอดภัยที่สุด
แต่สำหรับผู้นำคริสเตียนผมคิดว่า
จะต้องอยู่รอบนอกคอยระมัดระวังศัตรูที่จะเข้ามาจู่โจมคือ พวกหมาป่า
(คำสอนเท็จ) สิงโต (อำนาจการควบคุม) และผีมารซาตาน
เหล่าวิญญาณชั่วและเนื้อหนังฝ่ายต่ำ
ก็มาคิดว่า ในยามปกติเรายังอ่อนไหว(อ่อนแอ)กันขนาดนี้
ยามเกิดหน้าสิ่วหน้าขวานจะเป็นอย่างไรหนอ เช่น มีการกดขี่ข่มเหง
และการทำลายล้างความเชื่อของคริสเตียน
และการไล่ล่าประหัตประหารชีวิตขึ้นมา เราจะสามารถทนทานได้หรือ?
(จินตนาการไม่ออกจริงๆ!)
ในพระคัมภีร์ทั้งเดิมและใหม่เราจะพบว่า "ความคิดเห็นแตกต่างกัน"
เป็นเรื่องปกติ เช่น อับราฮัมกับโลตมีความเห็นต่างกันในเรื่องที่ดินทำกิน
ทั้งสองก็แยกทางกันเดิน แต่วันหนึ่งเมื่อโลตประสบกับปัญหา
เราจะเห็นว่าอับราฮัมก็รีบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทันที
ในพระธรรมกาลาเทียเราพบว่า เปาโลกับเปโตรต่างก็เป็นอัครทูตทั้งคู่
แต่วันหนึ่งเปาโลเห็นพฤติกรรมของเปโตรเปลี่ยนไป
ในเรื่องท่าทีต่อคนต่างชาติ ท่านทนไม่ไหวจึงตำหนิต่อหน้าอย่างตรงไปตรงมา
เปโตรก็มิได้โกรธและคิดว่าเปาโลเป็นศัตรู
แต่ทั้งสองได้จับมือกันที่จะทำพันธกิจของพระเยซูให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
โดยเปาโลตั้งเข็มไปที่กลุ่มคนต่างชาติ
ส่วนเปโตรมีเป้าหมายมุ่งไปที่กลุ่มคนยิว (กท.๒.๙-๑๔)
ในพระธรรมกิจการเราก็พบกรณีไม่เห็นด้วยกันของนักประกาศสองคน คือ
เปาโลกับบารนาบัส ปัญหามันจากมีความคิดเห็นแตกต่างกันในเรื่องของมาระโก
เปาโลเห็นว่าในการเดินไปประกาศข่าวประเสริฐในเที่ยวต่อไป
จะไม่เอามาระโกไปด้วย เพราะเขาละทิ้งท่านแบบ "เลิกร้างกลางคัน"
แต่บารนาบัส(ชื่อนี้หมายถึงลูกแห่งการหนุนน้ำใจ)ยังให้โอกาสแก่ชายหนุ่มมาระโก
และอยากจะพาไปด้วย เมื่อตกลงกันไม่ได้
ท่านทั้งสองก็จับมือกันแบ่งกันเป็นสองทีมและแยกย้ายกันไปประกาศเรื่องพระคริสต์
แล้วพระเจ้าทรงอวยพระพรให้ทั้งสองทีมก็เกิดผลอย่างมากมาย (กจ. ๑๕.๓๖-๔๑)
อีกตัวอย่างหนึ่งจากคริสตจักรเมืองโครินธ์
ในสมัยนั้นถือว่าเป็นโบสถ์ใหญ่ที่เจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย
สมาชิกเจริญเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ
มีการใช้ของประทาน(เกือบทุกชนิด)ฝ่ายวิญญาณกันอย่างกว้างขวาง
จนอาจเรียกว่าใช้แบบ "ฟุ่มเฟือย" ก็ว่าได้
แต่คริสเตียนโครินธ์มีความเห็นที่แตกต่างกัน ศีลธรรมเสื่อมโทรม
ขาดความเป็นระเบียบวินัย คริสเตียนเป็นคดีความฟ้องกันถึงโรงถึงศาล



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #383 เมื่อ: 22 ส.ค. 10, 16:04 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

พลิกฟื้นชุมชน พลิกวิกฤตเป็นโอกาสการอวยพระพรของพระเจ้า
เขียนโดย ปัทมโรจน์ มากสุริวงศ์

พลิกฟื้นชุมชน พลิกวิกฤตเป็นโอกาส การอวยพระพรของพระเจ้า
(Transformation : turning the crisis as an opportunity to bless the Lord.)

จากเหตุการณ์บ้านเมืองไทยของเราในปัจจุบันที่เกิดเหตุวินาศกรรม
ทั้งเหตุไฟไหม้อาคารห้างสรรพสินค้า ธนาคารและสถานที่ราชการหลายแห่ง
นำมาซึ่งการสูญสียทั้งทรัพย์สิน และขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิต

ผู้คนอยู่ในสถาวะโศกเศร้า "เราจะอยู่กันอย่างไร" เป็นประโยคที่ถูกตามกัน
อาคารสถานที่อาจจะพอซ่อมสร้างใหม่ได้ แต่สภวะทาง
จิตใจต้องใช้ระยะเวลาในการเยียวยา นานพอสมควร
สภาพบ้านเมืองของเราอยู่ในสภาวะวิกฤตการณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ผมในฐานะของคริสตชนคนไทยคนหนึ่ง ขอเสนอความคิดเห็นว่า
เราน่าจะใช้โอกาสนี้พลิกฟื้นชุมชน โดยเริ่มต้นจากชุมชนใกล้ตัว
ทั้งครอบครัว โรงเรียนและชุมชนศาสนา

การรื้อฟื้นจริยธรรมต้องเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อการเยียวยารักษาประเทศไทยจะเกิดขึ้น

ผมเชื่อว่าเมื่อเราลุกขึ้นช่วยกันพลิกฟื้นชุมชน
จะเห็นสิ่งที่ดีงามเกิดขึ้นและเมื่อเราช่วยกันร้องทูลอธิษฐานอย่างวิงวอน
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสดับฟัง
และพระองค์จะให้อภัยแก่บาปของเราและจะรักษาแผ่นดินของเราให้หาย
ให้คืนกลับสู่สภาพดี

หนังสือ หนึ่งในพระวิญญาณเพื่อการพลิกฟื้นชุมชนของ รูธ รุยบอล (Root
Ruibal) ได้เขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองคาลี
เมืองที่เต็มไปด้วยความบาปของประเทศโคลัมเบีย
และบทบาทของคริสเตียนที่นั่น
ที่ได้ลุกขึ้นเอาจริงเอาจังในการอธิษฐานเผื่อเมือง

เธอกล่าวว่า "เมืองคาลีตกอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง
เป็นที่รู้จักดีว่าเมืองคาลีมีขบวนการค้ายาเสพติด
ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการอาชญากรรมที่เป็นระบบที่สุดในโลก
เนื่องจากการฆาตกรรม การลักพาตัว การทรมาน และอื่น ๆ
ตอนแรกดูเหมือนไม่มีใครสนใจความเป็นไปของเมือง
ความเจริญทางวัตถุทำให้พวกเขาไม่เห็นสภาพที่แท้จริงของเมือง
แต่ต่อมามันกลายเป็นความวิตกทางสังคมที่มากและเพิ่มขึ้น"

นี่จึงเป็นสาเหตุให้กลุ่มคริสเตียนเริ่มต้นจับกลุ่มกันติดตามความเป็นไปของเมือง
พวกเขากล่าวว่า "เมืองของเราจะพินาศฝ่ายวิญญาณหากไม่มีการแทรกแซงที่รุนแรง"

กลุ่มศิษยาภิบาลจากที่ต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้พบปะกัน
ได้เริ่มต้นพูดคุยกันถึงปัญหาของเมือง
และเริ่มมีการจัดการอธิษฐานเพื่อเมืองอย่างแท้จริงพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเคลื่อนไหวในเมือง
ดังนั้นจึงมีการจัดอธิษฐานโต้รุ่งหลายต่อหลายครั้ง
พวกเขาอธิษฐานเพื่อต่อต้านความบาปทุกรูปแบบ ทั้งอธิษฐานต่อต้านการฉ้อโกง
อธิษฐานขอการยุติความรุนแรง อธิษฐานเผื่อปัญหายาเสพติดให้หมดไป

จากการอธิษฐานเล็ก ๆ กลายเป็นการรวมพลังที่ยิ่งใหญ่
ทุกคนกลับไปด้วยภาระใจว่า
จะลุกขึ้นปกป้องเมืองคาลีและยังมีการแยกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ
และอธิษฐานตามที่สำคัญทั่วเมือง

รูธ รุยบอล กล่าวว่า "เมื่อคนแห่งความเชื่อเพียงไม่กี่คนพบกัน
เพื่ออธิษฐานเผื่อชุมชนก็จะมีฤทธิ์เดช อย่าดูหมิ่นวันเล็กน้อย
เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มตอบคำอธิษฐานเหล่านั้น คนอื่นจะถูกดึงดูดเข้ามา
คนเพียงสองคนหรือสามคนร่วมใจกันอธิษฐานและอดอาหารก็เพียงพอที่จะจุดไฟ
และการพลิกฟื้นเมืองคาลีก็ได้ค่อย ๆ เกิดขึ้น
เมื่อทุกคนลุกขึ้นเพื่อเมืองอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน


นี่เป็นตัวอย่างของคริสเตียนในเมืองคาลี ประเทศโคลัมเบีย
ที่มีใจปรารถนาจะมีส่วนช่วยกันพลิกฟื้นเมืองให้บริสุทธิ์
เป็นเมืองที่น่าอยู่และสงบสุข

ในพระวจนะของพระเจ้าในหนังสือพงศวารบันทึกไว้ว่า

2 พศด.7:14-15
14 ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและ
แสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่
บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย
15 และตาของเราจะลืมอยู่และหูของเราจะฟังคำอธิษฐานซึ่งเขาทั้งหลายอธิษฐาน
ณ สถานที่นี้

พระธรรมตอนนี้ เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้แก่ซาโลมอนว่า
หากชนอิสราเอลกระทำความผิดบาป
การพิพากษาลงโทษของพระเจ้าก็จะมาถึงชุมชนของเขา
ไม่ว่าจะเป็นการกันดารอาหาร โรคระบาด หรือแมลงศัตรูพืชระบาด
อันเป็นสภาพของความสูญเสีย และเสียหายต่อทั้งแผ่นดินอิสราเอล
แต่หากประชาชนหันหลังกลับจากบาปและกลับมาแสวงหาพระเจ้า
พระองค์จะทรงรักษาแผ่นดินให้หาย และนำการอวยพรของพระเจ้ากลับคืนมา
จากพระธรรมตอนนี้ เราสามารถเห็นถึงวิถีของการพลิกฟื้นชุมชน
ให้พ้นจากสภาพความผิดบาป ความเสื่อมโทรม
กลับมาเป็นชุมชนที่บริสุทธิ์และเต็มเปี่ยมด้วยการอวยพรของพระเจ้า
อันเป็นน้ำพระทัยที่พระเจ้ามีต่อชีวิตของเราได้ ดังนี้

หนทางสู่การพลิกฟื้นชุมชน (The ways to transform the community)

เราจะนำการพลิกฟื้นมาสู่ชุมชนที่เราอยู่ได้อย่างไร

1. การพลิกฟื้นชุมชนเริ่มต้นที่คนของพระเจ้า (ข้อ 14) (Transformation
starts from the people of God)

พระวจนะกล่าวว่า
"ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง
และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา
เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขา
และจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย"

การพลิกฟื้นชุมชนต้องเริ่มต้นที่คนของพระเจ้า
เนื่องจากสภาพความเสื่อมโทรมทั้งทางวัตถุ และทางจริยธรรมในสังคมนั้น
ล้วนเกิดจากความผิดบาป และพระเจ้าไม่สามารถอวยพรชุมชนนั้นได้
คนของพระเจ้าจึงจำเป็นต้องนำความชอบธรรมของพระเจ้าลงมา
โดยการถ่อมตัวลงอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า และหันเสียจากความบาป
ลุกขึ้นทำการดีเพื่อสังคมและคนรอบข้าง
ดังที่พระเจ้าทรงตั้งเราไว้ให้เป็นเกลือและแสงสว่าง เริ่มต้นจากตัวเราเอง
จนสามารถส่งอิทธิพลที่ดีต่อคนทั้งสังคมได้

ทุกคนในชุมชนต้องมีส่วนช่วยกัน (ข้อ 15) Everyone in the community must
participate

พระวจนะกล่าวว่า "...ซึ่งเขาทั้งหลายอธิษฐาน ณ สถานที่นี้" เห็นได้ว่า
ไม่เพียงแต่ผู้เชื่อเพียงคนเดียว
แต่ทุกคนในชุมชนมีส่วนช่วยกันในการพลิกฟื้นชุมชน
แม้ว่าการริเริ่มอาจจะเริ่มที่คนหนึ่งคน
แต่หากจะทำให้การพลิกฟื้นชุมชนมีพลังต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกคนในสังคม
โดยหนุนใจกันและกันให้มากขึ้นในการมาอธิษฐานเผื่อชุมชนที่เราอยู่
สารภาพบาปเผื่อชุมชน
และร่วมแรงร่วมใจทำสิ่งดีที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนในภาคปฏิบัติ

เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมกัน ในบทบาทที่เราเป็นอยู่
ทำในสิ่งที่เราเป็นให้ดีที่สุด
เมื่อทุกคนทำบทบาทของเราเราก็จะเป็นเหมือนฟันเฟืองที่เป็นกลไกลขับเคลื่อนการทำงานของเครื่องจักรให้ทำงานต่อไปได้
หากส่วนหนึ่งหยุดทำงาน เครื่องจักรก็จะรับผลกระทบไปด้วย

จอร์จ วอลตัน ลูคาส จูเนียร์ (George Walton Lucas, Jr.) เป็นผู้กำกับภาพยนตร์
ผู้อำนวยการสร้าง ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ชาวอเมริกัน
มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์ชุดไตรภาคสตาร์ วอร์ส และอินเดียน่า โจนส์
ได้กล่าวว่า "ผมไม่เสียใจกับสิ่งที่ผมทำลงไป


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #384 เมื่อ: 24 ส.ค. 10, 16:23 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น

สุขใจที่ได้คอย


ความสามารถในการรอคอย เป็นหนึ่งในคุณสมบัติของคนที่มีวุฒิความเป็นผู้ใหญ่
เป็นความสามารถที่จะอดทน อดกลั้น รู้จักกาลเทศะ และอะไรควรหรือไม่ควร
ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่เป็นเด็กมักจะไม่สามารถอดทนรอคอยได้มากนัก
แต่มักตามใจตนเอง เรียกร้องให้ได้มาตามที่ต้องการในเวลาที่รวดเร็วทันใจ
โดยไม่สนใจเรื่องความเหมาะสมของสิ่งใด ๆ

พระเยซูคริสต์ทรงยกตัวอย่างเด็กที่เล่นอยู่กลางตลาด
และเรียกร้องให้คนที่เดินผ่านไปมาให้ทำตามที่เขาต้องการ แต่เมื่อคนอื่น ๆ
ไม่ทำตาม เขาก็ร้องเอะอะโวยวาย (ลก.7.31-35)
จากเรื่องดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่พระเยซูตำหนิพวกฟาริสีที่ไม่ยอมรับยอห์นผู้ให้บัพติสมาว่าเป็นผู้เผยพระวจนะ
และไม่ยอมรับพระเยซูในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด
แต่พวกเขาคิดเอาตามใจของตนเองว่าใครควรจะเป็นอย่างไร
ซึ่งเป็นการยึดตามความคิดสติปัญญาของตนเองเท่านั้น
แต่สุดท้ายพระเจ้าก็พิสูจน์ให้ทุกอย่างประจักษ์ว่ายอห์นและพระเยซูเป็นใคร
ดังที่พระเยซูตรัสว่า
"แต่พระปัญญาก็ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องแล้วโดยบรรดาคน ที่ทำตาม
พระปัญญานั้น"

พวกฟาริสีแม้จะเป็นผู้มีความรู้และมีอายุมากพอตามบทบัญญัติ
ที่จะสามารถเป็นผู้นำทางศาสนา แต่กลับไม่สามารถอดทนรอคอยความจริง
และไม่สามารถยอมรับความจริงที่แตกต่างจากความคิด ความรู้ของตนเอง
เขาคิดว่าตนเองเป็นผู้กำหนดความจริง และนั่นเป็นเหตุให้พวกเขาตรากฎหมาย
กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้คนอื่น ๆ ปฏิบัติตาม
รวมทั้งปรับโทษคนที่ไม่สามารถทำตามกฎของเขาด้วย จากบัญญัติ 10 ประการ
ที่พระเจ้ามอบให้โมเสสประกาศต่อชนชาติอิสราเอลปฏิบัติตาม
แต่พวกฟาริสีได้เพิ่มเติมข้อหยุมหยิมจำนวนมาก
พระเยซูชี้ให้พวกเขาเห็นว่า เขาใส่ใจทำแม้สิ่งที่เล็ก ๆ ที่แทบคาดไม่ถึง
แต่กลับละเลยสิ่งสำคัญไป

"วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด
เพราะพวกเจ้าถวายทศางค์ [ คือ ร้อยละสิบ ] ที่เป็นสะระแหน่ ลูกผักชี
และยี่หร่า แต่เรื่องที่สำคัญกว่าในธรรมบัญญัติ คือความยุติธรรม
ความเมตตาและความเชื่อนั้นพวกเจ้ากลับละเลย
การถวายทศางค์นั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยเรื่องที่สำคัญนั้นด้วย
24โอ เจ้าพวกคนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป
(มธ.23.23-24)



เมื่อเขายึดความคิดเห็นของตนเองเป็นหลัก
จึงไม่สามารถอดทนรอคอยความจริงจากพระเจ้า
ไม่สามารถอดทนทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคิดของเขาได้
เขาไม่ยอมรับแนวทางของพระเจ้า แต่กลับคิดว่าวิธีของตนเองถูกต้องแล้ว
แต่สุดท้ายมันสิ้นสุดลงในทางของความตาย ดังสุภาษิตที่ว่า
มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา
(สภษ.14.25)



พระคัมภีร์ของพระเจ้าสอนว่า วิถีของมนุษย์และพระเจ้านั้นแตกต่างกัน
วิถีและความคิดของพระเจ้าสูงเกินกว่าที่มนุษย์จะกำหนดเองได้ทั้งหมด
(1คร2.4-16 ,อสย.55.8-9)
แต่หากใครก็ตามที่มีความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า
ไม่ยึดเอาความคิดหรือความรอบรู้ของของตนเองเป็นใหญ่
พระเจ้ามีพระสัญญาแห่งพระพรสำหรับเขา เช่น

1. ทำให้เกิดความราบรื่น (สภษ.3.5-6)

จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
6จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น



2. ทำให้มีความยินดีและสุขภาพแข็งแรง (สภษ.3.7-8)

อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย
8การกระทำเช่นนี้ จะเป็นที่ชุ่มเนื้อของเจ้า
และเป็นที่ชื่นฉ่ำแก่กระดูกของตน



3. ทำให้มีกำลังกายและจิตวิญญาณ (อสย.40.31)

แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่
เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี

เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย



ทุกวันนี้ชีวิตของเรามีความรีบเร่ง มีความต้องการที่สะดวกรวดเร็วทันใจ
หลายครั้งไม่ต้องการรอคอยอะไร นับตั้งแต่วิถีชีวิตประจำวัน การทำงาน
การตัดสินใจ เช่น เวลาทานอาหารก็ต้องการอาหารจานด่วน
ใช้คอมพิวเตอร์ก็ต้องการความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
การเดินทางชอบความรวดเร็ว ไม่พอใจหากต้องรอคิว
และมักรู้สึกว่าแถวที่เรายืนมักช้าเสมอ
ช่องทางที่เราขับรถมักติดกว่าช่องอื่น ทุกอย่างดูเหมือนช้าไปหมด
ด้วยเหตุนี้คนเราจึงกลายเป็นเสมือนเด็กที่คอยเรียกร้องให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของตนเอง
จนลืมเหตุผลและความจริงไป



สำรวจดูว่าชีวิตของคุณสามารถที่จะรอคอยอย่างมีความสุข
หรือทุกข์กระวนกระวายทุกครั้งที่ต้องรอ หากผลออกมาอย่างไร
นั่นแหละเป็นดัชนีชี้วัดว่าคุณเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กน้อยในร่างยักษ์กันแน่
?



E-mail: bandhitda***


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #385 เมื่อ: 28 ส.ค. 10, 11:13 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 


คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น

ผู้ชนะมีพียงหนึ่งเดียว



การแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้
มาถึงรอบรองและชิงชนะเลิศแล้ว
แต่ละรอบที่ผ่านมาคงทำให้กองเชียร์ลุ้นระทึกเหมือนกัน รอบ 8
ทีมสุดท้ายก็ส่งผลให้อดีตแชมป์โลก 5 สมัยอย่างบราซิลม้วนเสื่อกลับบ้าน
ตามมาด้วยอาเจนติน่าที่แพ้เยอรมันอย่างหมดรูป
มาราโดน่าจึงไม่ต้องแก้ผ้าวิ่งรอบเมืองตามที่เคยลั่นวาจาไว้

การแข่งขันครั้งนี้ทีมจากเอเชียได้แสดงศักดาให้ชาวโลกประจักษ์
ทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้สามารถทะลุถึงรอบ 16 ทีม
ส่วนเกาหลีเหนือก็เป็นทีมม้ามืดเข้ารอบแรกมาด้วย
ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้คนไทยหวนกลับมาถามกันเองอีกครั้งว่า
"เมื่อไหร่บอลไทยจะไปบอลโลก ?" และมีผู้ให้คำตอบกลับมาว่า
"บอลไทยคงไปบอลโลกได้แค่ความฝัน และการพนันเท่านั้น"
คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าไทยเราจะก้าวผ่านเงาของตัวเองไปได้เมื่อไหร่
แต่สิ่งที่ช่วยไทยไว้ได้คือ ช่วงนี้คนไทยมีความสุขกับการเชียร์บอล
จึงทำให้มองข้ามปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจไปชั่วขณะหนึ่ง ดังที่
"สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
สำรวจความคิดเห็นจากประชาชนในกรุงเทพฯปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,251 คน
กรณี 4 ข่าวเด่นที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก 2010 การก่อวินาศกรรม /การลอบทำร้าย ไข่ไก่แพง
และโครงการประชานิยม เพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็น ระหว่างวันที่ 1-3
กรกฎาคม 2553 ผลปรากฏว่า ข่าวเด่นที่ประชาชนสนใจมากเป็นพิเศษ ได้แก่
อันดับ 1 ฟุตบอลโลก 2010 57.28% อันดับ 2 การก่อวินาศกรรม
/การลอบทำร้าย 21.89% อันดับ 3 โครงการประชานิยม 12.09% อันดับ
4 ไข่ไก่แพง 8.74% (ค้นมาจากhttp://www.ryt9.com/s/sdp/934330 เมื่อ
จันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2553)

การแข่งขันย่อมมีผู้แพ้และชนะ กล่าวคือ ทุกคนต้องการชัยชนะ
แม้ว่าความจริงไม่สามารถจะเป็นอย่างนั้นได้ เพราะสุดท้าย
"ผู้ชนะจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น" นี่คือสัจธรรมของโลกนี้
ที่มีการแข่งขันเพื่อชัยชนะตามมาตรฐานและกติกาที่ตกลงกันไว้
แต่หากมองเรื่องการแข่งขันและชัยชนะตามแนวทางของพระเจ้าในพระคัมภีร์
จะพบว่า แต่ละคนมีโอกาสรับชัยชนะ และชัยชนะนั้นได้มาเนื่องจาก
พระเยซูคริสต์ผู้ทรงมีชัยเหนือทุกสิ่งแล้ว
และทรงพร้อมที่จะประทานชัยชนะให้กับคนที่เชื่อศรัทธาในพระองค์ทันที
(1คร.153-4,55-57 ,1ยน.5.4-5,วว.3.21) พระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น
ที่เป็นผู้มีชัยอย่างแท้จริง เป็นผู้เดียวที่เกิดมาอย่างบริสุทธิ์
ดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์
และสิ้นพระชนม์อย่างไร้ผิด(ฮบ.9.4,1ปต.2.21-23)
ที่สำคัญเป็นขึ้นจากความตายอย่างยิ่งใหญ่ และทรงพระชนม์อยู่ตลอดไป
ไม่มีใครที่มาก่อนและหลังจะเป็นเช่นนี้ได้อีก (ฮบ.1)

การแข่งขันทั่วไปของโลกนี้ อาจมีบางครั้งแพ้ บางครั้งชนะ
แต่พระเยซูทรงมีชัยชนะอย่างยั่งยืนตลอดไป ทั้งในสวรรค์ และแผ่นดินโลก
ชัยชนะในการแข่งขันอาจทำให้คนทั้งประเทศยินดี
แต่วันข้างหน้าชัยชนะอาจเปลี่ยนเป็นของคนอื่น
ส่วนชัยชนะของพระเยซูเพียงผู้เดียวสามารถช่วยให้ทั้งโลกมีความหวัง
ความยินดีที่ได้รอดพ้นจากบาป หากเชื่อมั่นศรัทธาในพระองค์
เป็นการรอดพ้นแบบถาวรโดยพระคุณ
และมีสิทธิ์ร่วมฉลองชัยกับพระเยซูคริสต์ตลอดไป

พระเยซูได้ชัยชนะแต่เพียงผู้เดียวแล้ว
ทรงพร้อมจะประทานชัยชนะนั้นให้กับทุกคน
เพียงแต่ว่าคุณและผมยินดีที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในชัยชนะนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง
ผมคนหนึ่งละที่ขอมีส่วน แล้วคุณละ ! หรือคนเรารู้จักและคนอื่นๆอีกละ !
จะช่วยให้เขามีส่วนร่วมอย่างไรดี ?



E-mail: bandhitda***

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #386 เมื่อ: 29 ส.ค. 10, 16:15 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
วิตกกังวล

โดย ดร.เฮ็นรี ซี. ซัน



ในพระคริสตธรรมคัมภีร์มีหลายตอนที่พูดถึงความวิตกกังวล
พระเยซูก็ทรงเน้นไม่ให้วิตกกังวลมากกว่าเน้นไม่ให้ทำบาป

"อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย
แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน
การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ
จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์" (ฟิลิปปี 4:6-7)

ไม่กลัว

ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์คือกลัวความตาย
ถ้าใครไม่กลัวตาย เขาก็คงไม่กลัวอะไรอื่นอีก
อันที่จริงพระเจ้าทรงควบคุมชีวิตและความตายของมนุษย์ทุกคน
พระองค์อาจเอาชีวิตของบางคนไปหรือประทานชีวิตให้กับบางคนก็ได้

"พระเจ้าทรงประหารและทรงให้ชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและนำขึ้นมา
พระเจ้าทรงกระทำให้ยากจนและทรงกระทำให้มั่งคั่ง
พระองค์ทรงกระทำให้ต่ำลงและพระองค์ทรงยกขึ้น
พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นจากผงคลี พระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขยะ
กระทำให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย และได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก
เพราะว่าเสาแห่งพิภพเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงวางพิภพไว้บนนั้น" (1
ซามูเอล 2:6-8)

เมื่อเราได้รับการประกันว่าชีวิตนิรันดร์แล้ว
เราไม่ต้องกลัวสิ่งอื่นใดอีก แม้แต่การถูกโยนลงในถ้ำสิงโต
หรือในไฟที่ลุกอยู่ เราไม่จำเป็นต้องกลัวการทนทุกข์ฝ่ายร่างกาย
หรือภัยธรรมชาติวิกฤตทางเศรษฐกิจ อุบัติเหตุ หรือแม้แต่ความตาย

ทำไมเราจึงไม่กลัวตาย? ก็เพราะว่าสวรรค์นั้นน่าอยู่กว่าโลกมาก
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า "เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น
เรามีความมั่นใจ
และเราปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้" (2
โครินธ์ 5:7-8)

เพื่อนของดานิเอลสามคนคือ ชัครัค เมชาค และเอเบดเนโก
ถูกนำไปเป็นเชลยในกรุงบาบิโลนในฐานะทาส
แต่ได้กลายมาเป็นข้าราชการของกษัตริย์เนบูคัสเนสซาร์
เขาไม่ยอมกราบไหว้รูปเคารพทองคำที่กษัตริย์สั่งให้ทุกคนกราบไหว้ ดังนั้น
เขาจึงถูกน้ำไปโยนในกองเพลิง

กษัตริย์ให้โอกาสแก่พวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย
แต่พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ยอมนมัสการรูปเคารพนั้น โดยกล่าวว่า
"ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระบาทผู้ซึ่งพวกข้าพระบาทปรนนิบัติ
พอพระทัยจะช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พันจากเตาที่ไฟลุกอยู่ ข้าแต่พระราชา
พระองค์ก็ทรงช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท
ถึงแม้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้าแต่พระราชา ขอฝ่าพระบาททรงทราบว่า
พวกข้าพระบาทก็ไม่ปรนนิบัติพระของฝ่าพระบาท
หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งฝ่าพระบาทได้ทรงตั้งขึ้น" (ดาเนียล 3:17-18)

แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเกรี้ยวกราดนัก รับสั่งให้มัดชัดรัค เมชาค
และเอเบดเนโก และโยนเข้าไปในเตาไฟทั้งที่ยังถูกมัดอยู่
ขณะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประหลาดพระทัย ทรงลุกขึ้นโดยฉับพลัน
พระองค์ตรัสว่า "เรามัดสามคนโยนเข้าไปในไฟมิใช่หรือ แต่เราเห็นสี่คน
มือไม่ได้ถูกมัด กำลังเดินอยู่กลางไฟและเขาทั้งหลายก็ไม่เป็นอันตราย
รูปร่างของคนที่สี่นั้นคล้ายกับองค์เทพบุตร"

แล้วเนบูคัดเนสซาร์เสด็จมาใกล้ประตูเตาที่ไฟลุกอยู่นั้น ทรงกล่าวว่า
"ซัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุด จงออกมาเถิด
จงมาที่นี่" แล้วทั้งสามก็เดินออกมาจากไฟ ผมที่ศีรษะของเขาก็ไม่งอ
เสื้อก็มิได้ไหม้ และไม่มีกลิ่นไฟที่ตัวเขาทั้งหลายเลย (ดาเนียล 3:17-27)

ตลอดประวัติศาสตร์
สาวกของพระเยซูคริสต์หลายพันคนถูกข่มเหงและถูกฆ่าเพราะพระกิตติคุณ
แต่ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าพวกเขาหวาดกลัว ตรงข้าม
พวกเขากลับอธิษฐานขอพรและขอพระเจ้ายกโทษให้กับศัตรู
เช่นเมื่อประชาชนจะเอาหินขว้างสเทเฟน
ขณะกำลังอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้า
ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย"

สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า "ข้าและองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้" เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงลับไป
(กิจการ 7:59-60)

ศจ.ดร.บัวขาบ รองหานาม แปล

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับ 265 วันที่ 26 มิถุนายน-2
กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ดร.เฮ็นรี ซี. ซัน



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #387 เมื่อ: 31 ส.ค. 10, 12:22 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

สิ่งที่เศรษฐีควรทำ

โดย ดร.ไสว บุญมา 4 กรกฎาคม 2553 ASTVผู้จัดการ

โดย...ไสว บุญมา

ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา วอร์เรน บัฟเฟตต์และบิล เกตส์
นัดพบกับบรรดามหาเศรษฐีหลายครั้งโดยมีเดวิด
ร็อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าภาพครั้งแรก
จุดมุ่งหมายของการพบกันได้แก่การปรึกษาหารือเรื่องการบริจาคทรัพย์สินช่วยเพื่อนมนุษย์
หลังการพบกันครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา
พวกเขาได้ข้อตกลงว่า
จะเชิญชวนมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินระดับพันล้านดอลลาร์ให้พิจารณาบริจาคทรัพย์ของตนคนละไม่ต่ำกว่า
50% เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์
การบริจาคจะมีผลในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ได้โดยการเขียนคำมั่นสัญญาลงในเว็บไซต์ชื่อ
givingpledge.org

คำมั่นสัญญานี้ไม่มีผลทางกฎหมาย หากเป็นการให้เพียงคำสัญญา
แต่ไม่มีใครสงสัยว่าคนอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์
จะไม่รักษาสัญญาที่เขาเขียนไว้
เพื่อแสดงถึงความจริงใจว่าเขาไม่เฉพาะแต่จะเชิญชวนผู้อื่นให้บริจาค
หากตัวเองก็ทำด้วย วอร์เรน บัฟเฟตต์
ได้เขียนคำมั่นสัญญาลงในเว็บไซต์นั้นเป็นคนแรกว่า
เขาจะสละทรัพย์สินของเขาไม่ต่ำกว่า 99% ช่วยเพื่อนมนุษย์

ในคำมั่นสัญญาที่ยาวราว 1 หน้ากระดาษ วอร์เรน บัฟเฟตต์
พูดถึงหลายอย่างรวมทั้งสิ่งเหล่านี้ด้วย 1)
จริงอยู่ทรัพย์สินที่เขาจะให้นั้นมีค่านับหมื่นล้านดอลลาร์ก็จริง
แต่หากวัดกันในด้านของการเสียสละแล้วมันยังน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นอีกมาก
ทั้งนี้เพราะแม้เขาจะยก 99% ของทรัพย์สินให้การกุศล
เงินที่เหลือยังมากมาย
ยังผลให้เขาไม่ต้องเสียสละอะไรที่จำเป็นต่อชีวิตของเขาเลย
ต่างกับผู้สละทรัพย์อีกจำนวนมากที่แม้จะบริจาคเพียงไม่กี่ดอลลาร์
แต่เงินนั้นอาจมาจากงบประมาณสำหรับซื้ออาหารซึ่งผู้บริจาคจะต้องอด

2) หลายๆ
คนรวมทั้งลูกและน้องสาวของเขาด้วยสละเวลาซึ่งมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเพื่อช่วยผู้อื่น
ส่วนเขาสละเฉพาะทรัพย์สินเท่านั้น 3)
เขากำหนดว่าทรัพย์สินของเขาจะต้องถูกใช้ให้หมดไปหลังจากเขาตายครบ 10 ปี
4) เขามองว่าการสะสมของมีค่าทางวัตถุต่างๆ
ไม่มีความสำคัญเพราะสิ่งเหล่านั้นแหละคือโซ่รัดคอของผู้สะสม 5)
สิ่งที่มีค่ากว่าวัตถุคือสุขภาพและเพื่อน 6)
ทรัพย์สินที่เขาบริจาคไปนั้นแม้จะเก็บไว้ก็จะไม่ทำให้เขาและลูกๆ
มีความสุขเพิ่มขึ้น ตรงข้ามมันจะทำให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมากมีชีวิตดีขึ้น

อาจเป็นที่ทราบกันดีว่า ทรัพย์สินของเศรษฐี เช่น วอร์เรน
บัฟเฟตต์ และบิล เกตส์ ส่วนใหญ่อยู่ในรูปหุ้นบริษัท
มูลค่าของทรัพย์สินจึงขึ้นลงตามราคาของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
เมื่อปีที่แล้ว นิตยสารฟอร์บส์ประเมินว่าทรัพย์สินของวอร์เรน บัฟเฟตต์
มีค่าราว 37,000 ล้านดอลลาร์
หรือกว่าหนึ่งล้านล้านบาทหลังจากหักส่วนที่เขาบริจาคเพื่อการกุศลแล้ว
เมื่อปี 2549 วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ให้คำมั่นสัญญากับ บิล เกตส์
ว่าเขาจะเริ่มบริจาคทรัพย์สินของเราราว 83% ให้แก่มูลนิธิของบิล เกตส์
เพื่อให้มูลนิธินั้นนำไปใช้ในกิจการช่วยเพื่อนมนุษย์
การให้คำมั่นสัญญาครั้งนี้จึงมีค่าเท่ากับการบริจาคเพิ่ม

อาจมีผู้สงสัยว่าเพราะอะไร วอร์เรน บัฟเฟตต์
จึงไม่ยกทรัพย์สินให้ลูก
คำตอบคือเขายกให้ลูกทั้งสามคนไปนับพันล้านดอลลาร์แล้ว เขามองว่าลูกๆ
น่าจะพอเลี้ยงตัวได้แม้จะไม่ทำอะไรให้ทรัพย์สินนั้นงอกเงยขึ้นไปอีก
ถ้าพวกเขาไม่สามารถรักษาสมบัติไว้ได้ก็ไม่สมควรจะได้รับเพิ่ม
ส่วนตัวของเขาเองซึ่งตอนนี้อายุจะครบ 80
ปีในเดือนสิงหาคมที่จะมาถึงก็ไม่ต้องการอะไรมากเนื่องจาก 1%
ของทรัพย์สินก็มีค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์แล้ว

ยิ่งกว่านั้น
เขาใช้ชีวิตค่อนข้างสมถะคืออยู่บ้านหลังเดิมซึ่งมีการต่อเติมบ้างเล็กน้อยจากบ้านที่เขาซื้อเมื่อหลายสิบปีก่อน
(ดูรูป) เขาไม่สะสมของมีค่าต่างๆ ทางวัตถุ เท่าที่ผ่านมา
เขาขอเงินเดือนจากบริษัทที่เขาเป็นเจ้าของรวมแล้วปีละ 1
แสนดอลลาร์เท่านั้นซึ่งเขาบอกว่าพอใช้
ต่างกับเจ้าของและผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่และนักลงทุนโดยทั่วไปซึ่งได้ค่าตอบแทนนับสิบล้านดอลลาร์ต่อปี

ในปัจจุบัน ชาวอเมริกันที่มีทรัพย์สินระดับมหาเศรษฐีมีจำนวนมาก
เมื่อปีที่แล้วนิตยสารฟอร์บส์ประเมินว่า 400
คนที่รวยที่สุดมีทรัพย์สินรวมกันได้ราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์
สำนักข่าวบางแห่งประเมินว่าคนเหล่านี้บริจาคเงินเพื่อการกุศลโดยเฉลี่ยประมาณ
10% ของทรัพย์สินซึ่งก็มีค่ากว่าหนึ่งแสนล้านดอลลาร์อยู่แล้ว
หากการเชิญชวนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประสบความสำเร็จ
การบริจาคก็จะเพิ่มขึ้นซึ่งอาจถึงเป้าหมายที่ 6 แสนล้านดอลลาร์ก็ได้
แน่นอนเงินจำนวนนี้ย่อมจะมีผลดีมหาศาลต่อการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ณ
วันนี้ยังไม่มีการประเมินว่าเป้าหมายนี้จะมีโอกาสเป็นไปได้แค่ไหน

มหาเศรษฐีหลายๆ คนอาจไม่ร่วมด้วยในขณะที่บางคนอาจบริจาคเกิน 50%
ของทรัพย์สิน เช่น บิล เกตส์ ซึ่งเคยพูดไว้นานแล้วว่า
เขาจะยกทรัพย์สินราว 95% ให้มูลนิธิเพื่อการกุศลของเขา
ส่วนลูกสามคนจะปันส่วนที่เหลือกันซึ่งก็มีค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์
อาจเป็นที่ทราบกันแล้วว่า เขาและภรรยาได้บริจาคให้มูลนิธิของเขาแล้วราว 3
หมื่นล้านดอลลาร์และมูลนิธินั้นได้นำรายได้ไปบริจาคให้แก่โครงการต่างๆ
ทั่วโลกหลายพันล้านดอลลาร์แล้ว นอกจากนั้น
เขายังได้เกษียณจากงานเมื่ออายุเพียง 53
ปีเพื่ออุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่การกุศล ผู้ต้องการทราบรายละเอียด
อาจเข้าไปดูเว็บไซต์ของมูลนิธินั้นได้ที่http://www.gatesfoundation.org

อาจเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า
แนวคิดเรื่องการยกมรดกและทรัพย์สินส่วนใหญ่ให้แก่มูลนิธิเพื่อการกุศลไม่ใช่ของใหม่ในสังคมอเมริกันแม้จะมีบางคนกระแหนะกระแหนว่ามันเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีมรดก
เรื่องนี้อาจมีส่วนของความเป็นจริงอยู่บ้างสำหรับเศรษฐีบางคน
สิ่งที่อาจไม่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปคือ มหาเศรษฐี เช่น บิล เกตส์
คิดไกลกว่าเรื่องภาษีมรดก

เมื่อสมัยที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช
ต้องการจะผ่านกฎหมายยกเลิกภาษีมรดกเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและเศรษฐีด้วยกัน
ชาวเมริกันกลุ่มหนึ่งซึ่งมีพ่อของบิล เกตส์
เป็นหัวจักรใหญ่ได้ต่อต้านอย่างกว้างขวางเพราะพวกเขาเห็นว่าภาษีมรดกมีประโยชน์และพวกเขายินดีที่จะจ่ายให้แก่สังคมในเมื่อสังคมเอื้อให้เขาเป็นมหาเศรษฐี

การที่มหาเศรษฐีเชิญให้เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งตอนนี้อายุ 95
ปีแล้วเป็นเจ้าภาพในการพบกันครั้งแรกนั้นมีนัยสำคัญยิ่งคือ
เขาเป็นหลานคนสุดท้ายของจอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์
ซึ่งผู้ติดตามความเป็นไปของบรรดามหาเศรษฐีจัดให้เป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกตลอดกาล
จอห์น ดี.
ร็อกกี้เฟลเลอร์บริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ให้แก่องค์กรการกุศลโดยเฉพาะมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ซึ่งเมืองไทยก็ได้รับประโยชน์โดยตรง

ในยุคนั้น มหาเศรษฐีที่รองลงมาจากจอห์น ดี.
ร็อกกี้เฟลเลอร์ได้แก่แอนดรูว์ คาร์เนกี


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #388 เมื่อ: 12 ก.ย. 10, 13:56 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
เครื่องมือสำคัญที่สุดของมาร

***
"**ตาของข้าพเจ้าจ้องตรงพระเจ้าเสมอ** **
เพราะพระองค์จะทรงถอนเท้าของข้าพเจ้าออกจากข่าย"**(สดุดี 25**:**15)***

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมารที่นำเอาเครื่องมือต่างๆมาประมูลขาย
สินค้าที่ราคาแพงก็มี - ความเย่อหยิ่ง ความขี้เกียจ ความทรนง ความเกลียดชัง
อิจฉาริษยา หึงหวง

แต่มีอยู่เครื่องมือหนึ่งทีมีป้ายติดไว้ข้างใต้ว่า *"ไม่ขาย" *หลายคนพูดกันว่า
"เครื่องมืออะไรน่ะ? แล้วทำไมถึงไม่ขาย?"

มารตอบว่า *"เอาหละ อันนี้ผมตัดใจขายให้ไม่ได้หรอก
เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดนั่นคือ - ความท้อถอย - ด้วยเครื่องมือนี้
ผมสามารถเจาะเข้าไปในใจคนได้ และเมื่อเข้าไปได้แล้ว
ผมสามารถสั่งให้ทำอะไรก็ได้ที่ผมต้องการ... แทบทุกอย่าง"*

ต้องให้ผมบอกมั้ยครับว่าทำไมคุณถึงท้อถอย? ขอสรุปให้ฟังสั้นๆ -
ก็คุณกำลังถอนสายตาไปจากองค์พระผู้เป็นเจ้าน่ะสิครับ

คุณรู้สึกท้อถอย หมดกำลังใจหรือเปล่าครับ? ถ้าเปล่า ก็ให้สรรเสริญพระเจ้า
และไปมองหาใครบางคนที่คุณสามารถไปให้กำลังใจที่พวกเขาต้องการได้ในองค์พระเยซูคริสต์
บางทีอาจเป็นเพื่อนข้างบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือคู่ชีวิตของคุณเอง**

โดย : *Pastor Adrian Rogers*

Daily devotional

Love worth finding ministries: www.lwf.org
ข่าวประชาสัมพันธ์

- ความท้อถอยเกิดได้กับทุกคน ผู้ใหญ่ตัวโตๆกล้ามใหญ่ เด็กๆในวัยเรียน
สาวมั่นที่ใครเห็นก็นับถือ ไม่เว้นแม้แต่ลูกๆของพระเจ้า
แต่สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้คือ ความท้อถอยเป็นอุปกรณ์อันสำคัญของพวกมาร
ท้อได้บ้างเป็นเรื่องปกติแต่อย่าถอย เปิดทางให้มารเป็นอันขาด
- อธิษฐานเผื่อคนที่กำลังต่อสู้กับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต
ขัดสนเงินทอง เจ็บป่วย เหน็ดเหนื่อย ความสัมพันธ์ หรือกำลังท้อถอยฝ่ายวิญญาณ
ไม่มีอะไรดีไปกว่าคำอธิษฐานมอบฝากไว้กับพระเจ้าค่ะ - ขอพระเจ้าอวยพร

http://www.churchofjoy.net/3560

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #389 เมื่อ: 14 ก.ย. 10, 12:21 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
เมืองสวรรค์เป็นรางวัล

เรียบเรียงจาก "Heaven is a Gift"

ของ "Jack McArdle"

โดย "เจตานังค์" เรียบเรียง

ครานั้นมีคุณครูผู้หนึ่งเกิดเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน
และวิญญาณของเขาได้ถูกส่งไปยังเมืองสวรรค์
เขามาถึงยังประตูสวรรค์อันลือชื่อ
และแน่นอนว่าท่านนักบุญเปโตรยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว และกล่าวกับเขาว่า
"เดี๋ยวก่อนสิ ท่านจะไปไหนเหรอนั่นน่ะ?"

เขาตอบท่านนักบุญไปว่า "ผมกำลังจะเข้าไปด้านในนั้นครับ"

ท่านนักบุญบอกว่า "ท่านเข้าไปไม่ได้หรอก"

"ทำไมละครับ" เขาถามตอบทันควัน

"ก็มันไม่ได้เข้าไปง่ายๆ นะสิ" ท่านนักบุญตอบ

"ทำไมล่ะ" เขายังคงสงสัย

"คือที่นี่เรามีกติกาการนับคะแนนสะสม
ไหนดูสิว่าท่านมีคะแนนมากพอที่จะเข้าเมืองสวรรค์ได้ไหม"
ท่านนักบุญเปโตรอธิบาย

"โอ้ ผมไม่คิดว่าที่นี่จะมีกติกาแบบนี้กับเขาด้วย
แล้วต้องมีสักกี่คะแนนถึงจะเข้าสวรรค์ได้ล่ะครับ" เขาถามอีก

นักบุญเปโตรบอกกับเขาว่า "ก็ราวๆ หนึ่งพันคะแนนที่เราต้องการ"

ครูได้ฟังถึงกับตะลึงและหน้าถอดสีเล็กน้อย นักบุญเปโตรจึงกล่าวต่อว่า
"เอาน่า ไหนลองบอกเรามาสิว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ท่านได้ทำสิ่งใดบ้าง"

ครูทำหน้าครุ่นคิด เอามือลูบคางก่อนจะพูดว่า
"ผมไปร่วมมิสซาตอนเช้าทุกวันเป็นเวลา 40 ปี"
เขาตอบพร้อมสีหน้ากระหยิ่มและคิดว่านั่นคือไพ่เด็ดของตน

นักบุญเปโตรตอบว่า "มันไม่พอหรอก นั่นท่านได้เพียงคะแนนเดียวเท่านั้น"

หัวใจของครูหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นักบุญเปโตรก็ถามต่อว่า "มีอีกไหม หมดแล้วหรือ"

"มีอีกสิ ผมเป็นอาสาสมัครในประเทศกลุ่มโลกที่สาม
เป็นสมาชิกกลุ่มวินเซ็นต์ เดอ ปอล
และยังเป็นสมาชิกของอีกสององค์กรการกุศล" เขาเล่าด้วยความภูมิใจ

นักบุญเปโตรกลับเร่งเร้าต่อ "เร้าเข้าสิมีอะไรอีก คุณทำบุญทั้งปีรวมกันได้เท่าไหร่"

"อาจจะราวๆ 25,000 บาทได้มั้งครับ" เขาตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจ

นักบุญเปโตรกล่าวชื่นชมว่า "ไม่เลว ใช้ได้ งั้นเอาไปอีกหนึ่งคะแนน"

ถึงตอนนี้คุณครูรู้สึกหมดหวัง ทำไมตัวเองถึงเหมือนจมอยู่ในปลักโคลน
พูดกับตัวเองว่า
"ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าแล้วที่จะทำให้เราได้เข้าประตูสวรรค์"

เมื่อได้ยินดังนั้น นักบุญเปโตรก็หันมาพูดกับเขาว่า "ดี
ท่านเชื่อแบบนั้นล่ะก็ เอาไปเลยหนึ่งพันคะแนน
ถ้าเชื่อเช่นนั้นจริงก็ผ่านประตูเข้าไปได้แล้ว
เพราะว่าสวรรค์นั้นถือเป็นสุดยอดที่สุด และละเอียดอ่อน
เป็นของรางวัลเที่ยงแท้จากพระเป็นเจ้า"

http://www.issara.com/newblog/?p=1860


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #390 เมื่อ: 18 ก.ย. 10, 10:47 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ที่ๆคุณจะไปจบลง


เพราะว่าถ้าเขาไม่ได้รู้จักทางชอบธรรมนั้นเสียเลย
ก็ยังจะดีกว่าที่เขาได้รู้แล้ว
แต่กลับหันหลังให้พระบัญญัติอันบริสุทธิ์ที่ได้ทรงโปรดมอบให้แก่เขานั้น
(2เปโตร 2:21)

พวกเราหลายคนคงคุ้นเคยกับเรื่องบุตรน้อยหลงหายดี
แต่ถ้าเป็นเรื่องหมูหลงหายล่ะครับ? มีอยู่ในพระคัมภีร์ครับ:

เพราะว่าถ้าเขาไม่ได้รู้จักทางชอบธรรมนั้นเสียเลย
ก็ยังจะดีกว่าที่เขาได้รู้แล้ว
แต่กลับหันหลังให้พระบัญญัติอันบริสุทธิ์ที่ได้ทรงโปรดมอบให้แก่เขานั้น
พฤติกรรมได้เกิดกับเขาตามสุภาษิตซึ่งเป็นความจริงที่ว่า
สุนัขเลียกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา และสุกรที่คนล้างมันให้สะอาด
แล้วกลับลุยลงไปนอนในปลักอีก (2เปโตร 2:21-22)

มีเหตุผลหลายประการที่ผมรู้ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง
และสองสิ่งนั้นมาจากข้อพระคำด้านบน
ผมเคยเห็นสุนัขกลับไปเลียกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา ถ้าคุณเลี้ยงสุนัข
คุณก็คงเคยเห็น สำหรับหมูนั้น ถ้าคุณจับมันมา แต่งตัวเสียใหม่
ฉีดน้ำหอมให้ด้วย แต่ทันทีที่ได้โอกาส มันจะตรงดิ่งไปที่โคลน ทำไมครับ?
เพราะหมูก็คือหมู

ดังนั้นถ้ามีใครอ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน
นี่คือวิธีดูว่าเขาคนนั้นตามพระเยซูไปจริงหรือเปล่า ผู้เชื่อ
ถึงแม้หลงหายไปบ้าง แต่จะกลับมาหาพระเจ้าเสมอ อย่างไรก็ตาม
ผู้ไม่เชื่อจะไม่ทำ เมื่อเขียนเรื่องนี้ ท่านยอห์นกล่าวว่า
"เขาเหล่านั้นได้ออกไปจากพวกเรา แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่พวกเรา
เพราะว่าถ้าเขาเป็นพวกของเรา เขาก็จะอยู่กับเราต่อไป แต่เขาได้ออกไปแล้ว
ซึ่งก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่าเขาเหล่านั้นหาใช่พวกของเราไม่" (1ยอห์น
2:19)

ดังนั้นเมื่อเรามองไปยังคนที่ดูเหมือนหลงหายไปจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วเราสงสัยว่าเขาสูญเสียความรอดไปหรือยัง
ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกเขาไม่เคยรับความรอดมาตั้งแต่แรก
เพราะบทพิสูจน์ที่แท้จริงคือคุณจะไปจบลงที่ตรงไหน

Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000, Riverside, CA 92514

http://www.churchofjoy.net/3555
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #391 เมื่อ: 23 ก.ย. 10, 11:19 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

23/07/53

เมื่อเราไม่มีแม่ให้กอด

อีกไม่กี่อาทิตย์ก็ใกล้จะถึงวันแม่แล้ว มีคนเคยกล่าวไว้ว่า
"ถ้าเราไม่เคยเจอกับการสูญเสีย
เราจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมีคุณค่ากับเรามากแค่ไหน"
เช่นเดียวกับแม่ของฉันเมื่อคิดถึงวันแม่ทีไร ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้
วันนี้ฉันไม่มีโอกาสเรียกแม่ว่า "แม่" อีกต่อไปแล้ว
เพราะแม่ได้จากฉันไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลวกะทันหัน ณ เวลานั้น
ใจของฉันเหมือนมันจะขาดตามแม่ไปด้วย
ฉันไม่เคยเจอกับการสูญเสียอะไรที่มากมายเช่นนี้มาก่อน


"แม่" เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต
เวลาที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยมีวันไหนที่แม่จะไม่ขยัน
แม่ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ทำอาหารให้สามีและลูก ๆ ทานทุกวัน
หลังจากนั้นแม่จึงออกไปทำงาน
กลับมาบ้านแม่ก็ยังเป็นแม่บ้านที่ดีตลอดชีวิตของแม่
ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย ทำให้นึกถึงพระคำพระเจ้าในสุภาษิต 31:27-29 ที่ว่า
"เธอดูแลการงานในครัวเรือนของเธอและไม่ชุบมือเปิบ ลูก ๆ
ของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอว่า
สตรีเป็นอันมากทำอย่างดีเลิศ แต่เธอเลิศยิ่งกว่าเขาทั้งหมด"
ตั้งแต่ฉันลืมตาดูโลกก็เห็นแม่ทำงานมาตลอด
ฉันหวังว่าเมื่อฉันเรียนจบได้งานดี ๆ
ทำจะให้แม่ได้หยุดพักและเลี้ยงดูท่านไปจนตลอดชีวิต

แต่ก็ไม่มีวันนั้น...

ฉันรู้ว่าวันที่แม่ประทับใจที่สุดคือ
วันที่ฉันได้สวมเสื้อครุยและรับปริญญาเป็นวันที่แม่สวยที่สุด
แม่ยิ้มและภูมิใจกับความสำเร็จของฉันแม่ไม่เคยพูดให้ฉันได้ยิน
แต่แม่ก็จะป่าวประกาศบอกกับญาติพี่น้องของแม่ว่าลูกสาวคนนี้ได้รับปริญญาแล้ว
และอีกวันหนึ่งที่แม่ดีใจที่สุดเช่นกัน คือ วันที่พี่สาวได้แต่งงาน
ฉันพาแม่ไปตัดชุดเป็นผ้าไหมไทยที่สวยที่สุดให้แม่ได้ใส่
แม่ยิ้มด้วยความปลื้มใจ


ปีหนึ่งของวันแม่ สิ่งที่ฉันไม่เคยทำให้แม่ฉันก็มีโอกาสได้ทำเพื่อท่าน
คือ เอาดอกมะลิไปกราบที่ตักของแม่ แม่ก็ลูบหัวและให้พรกับฉัน
แม่ของฉันได้รู้จักกับพระเจ้าแล้ว
ถึงแม้ว่าเบื้องหลังจะมีมารซาตานที่คอยรบกวนชีวิตของแม่มาตลอด
แต่ฉันก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงยุติธรรมกับแม่ของฉันเสมอ
ขอบคุณแม่ที่ให้ฉันได้เกิดมา แม่เลี้ยงดูเราทั้ง 4 คนด้วยความรัก
เมื่อขาดแม่ไปเหมือนบ้านขาดความรักและความอบอุ่นไปทันที

แต่ขอบคุณพระเจ้าวันนี้ฉันยังมีพ่อ มีพี่สาวน้องชายและหลานชายอีก 1 คน
ที่ยังให้กอดได้อยู่ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหากวันหนึ่งพวกเขาจากไป
หรือฉันจากพวกเขาไปก่อน
โดยที่ยังไม่ได้รู้จักพระเจ้าหรือไม่ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดฉันจะทนได้อย่างไร?


ณ เวลาเช่นนั้นผู้ที่มาเติมเต็มความรักในครอบครัวของฉันที่มันขาดหายไปคือ
พระเจ้า พระองค์สัญญาว่า พระองค์จะไม่ละหรือทอดทิ้งลูกของพระองค์เลย
พระองค์อยู่ด้วยกับฉันตลอดเวลา พระองค์คอยซับน้ำตาทุกหยดที่ไหลออกจากตา
พระองค์อยู่ด้วยเวลาที่ฉันไม่มีใคร
พระองค์จัดเตรียมพี่น้องคริสเตียนที่คอยรักและห่วงใยให้กำลังใจเสมอมา
จนฉันสามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง

หลังจากสูญเสียแม่ฉันจึงได้ใคร่ครวญกับชีวิตว่า
"ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่" เพื่อ กิน เที่ยว ดื่ม มีครอบครัว
ช่วยเหลือคนอื่นได้บ้าง แสวงหาชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ เกียรติยศ ฯลฯ
อย่างฝ่ายโลกที่เขาแข่งขันกันและทำเช่นนั้นหรือ ? แล้วก็ตายจากไป

ไม่นะ ชีวิตของฉันจะไม่จบอยู่เพียงแค่นี้และฉันก็ได้คำตอบสำหรับชีวิตคือ
"มีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้พระเจ้า" (โรม 1:16)
เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ
เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า
เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด..


สิ่งที่ฉันปรารถนาในระหว่างที่มีลมหายใจอยู่นี้ คือ
การได้ประกาศความรักของพระเจ้าให้กับคนในครอบครัวที่ฉันรักได้ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต
และฉันยังคงเชื่อและไว้วางใจในพระสัญญาที่ตรัสว่า
"จงเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูเจ้าและท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย"
และจะประกาศกับทุกคนทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาสจะได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐ
ไม่ใช่เพียงประกาศเท่านั้น แต่ต้องมีการอธิษฐาน
ติดตามผลและเลี้ยงดูอย่างสม่ำเสมอ เท่าที่เราจะสามารถทำได้
ส่วนที่เหลือพระองค์จะทำแทนเรา

วันแม่ใกล้จะมาถึงแล้ว 12 สิงหาคม 2010 อย่าลืม "กอดแม่"
และอธิษฐานเผื่อท่าน
ประกาศความรักของพระเจ้าให้แม่ของท่านได้รู้จักกับพระองค์นี่เป็นของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราจะมอบให้กับท่านได้ในวันแม่
ผู้ที่มีแม่ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้า
ขอให้ท่านปรนนิบัติเอาใจใส่และดูแลแม่ของท่านเป็นอย่างดี

ก่อนที่ท่านจะ....ไม่มีแม่ให้กอด.


กันยารัตน์ เทียมทัน

(ขอแนะนำ อาจารย์กันยารัตน์ เทียมทัน
นักเขียนใหม่และทีมงานคนใหม่ในกองบรรณาธิการของข่าวคริสตชน
ดูรายละเอียดในหน้ากองบรรณาธิการ)


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #392 เมื่อ: 14 ต.ค. 10, 11:47 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

โดย ศจ.วิรัตน์ เป็งกันทะ

เจ้าคนขี้เซาเอ๋ย


พระวจนะของพระเจ้า เริ่มต้นด้วยการที่พระองค์ตรัสกับโยนาห์
ให้เขาลุกขึ้นไปยังเมืองนีนะเวห์
เพื่อไปบอกให้ชาวเมืองนั้นกลับเนื้อกลับตัวกลับใจใหม่เสียจากการกระทำบาป
แต่ปรากฏว่าโยนาห์ไม่ยอมไปนีนะเวห์ เขาไปเมืองทารชิช
เหมือนสั่งให้ไปจังหวัดลำพูน แต่กลับไปราชประสงค์ อะไรทำนองนี้

โยนาห์ได้หนีไปยังเมืองทารชิชโดยเรือโดยสารร่วมกับผู้โดยสารอื่นๆ
เพราะมีเป้าหมาย คือ "ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า" พูดง่ายๆก็คือ
ไปให้พ้นหน้าพระเจ้า โดยหารู้ไม่ว่า "พระเจ้าพระพักตร์ใหญ่"
หรือพูดง่ายๆได้ว่า พระเจ้าหน้าใหญ่
เหมือนเวลาเรานั่งรถหรือขี่รถเพื่อจะหนีดวงอาทิตย์
แต่ทุกครั้งก็รู้สึกเหมือนดวงอาทิตย์คอยจะตามมา เพราะอะไร?
เพราะดวงอาทิตย์มันใหญ่โต!

เมื่อโยนาห์หนีพระเจ้า เพราะคิดว่าหนีพระเจ้าพ้น
พระเจ้าทรงให้เกิดกระแสลมใหญ่ขึ้นเหนือทะเลและเรือกำลังจมลง
ทุกคนต่างเกิดความกลัว ต่างก็ร้องขอต่อพระของตนที่นับถือนั้นราวกับคิดว่า
"เผื่อว่าพระองค์หนึ่งองค์ใดจะช่วยเหลือพวกเขาได้"
และโยนาห์ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อาจจะเป็นความหวังของพวกเขา
แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น โยนาห์กลับถูกเรียกว่า "เจ้าคนขี้เซา"
เพราะคำว่า "เจ้าคนขี้เซา"
นี้หมายถึงหลับเป็นตายโดยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
มีคำสอนมากมายที่เราพบในชีวิตของโยนาห์
และคำสอนนี้นับเป็นโจทย์อย่างดีด้วย

1.เมื่อเจอวิกฤต คนเห็นพระเจ้าผ่านตัวเราหรือไม่?

เชื่อว่าทุกคนคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่า "สถานการณ์สร้างคน"
แต่สำหรับโยนาห์นั้น...เขาไม่ยอมให้สถานการณ์สร้าง
แทนที่เขาจะโดดเด่นเมื่อพบวิกฤต แต่วิกฤตกลับดับโยนาห์"
ผู้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าต่างวิงวอนต่อพระของตนให้ช่วยเหลือขณะที่เรือกำลังจมลง
ใน&