สวัสพี่น้องชาวบอร์ดสนุกทุกท่าน
เคยหรือไม่ที่ท่านจะได้รับความรำคาญจาก mail หรือการ Tag รูปภาพใน FaceBook ที่ออกมาในรูปแบบของการโฆษณาทำงานผ่าน Internet โดยที่ทำงานเพียง 2-3 ชั่วโมง/วัน แค่นั้นท่านก็จะได้ค่าตอบแทนจำนวนมหาศาล แต่ทว่าโฆษณาเช่นนี้กลับไม่ได้เพียงแต่สร้างความรำคาญเท่านั้น แต่โฆษณาเหล่านี้ กลับเป็นเครื่องมือของมารสังคมที่ใช้ในการหลอกลวงผู้อื่นให้มาลงทุนกับธุรกิจขายตรงโดยเน้นที่รายได้เป็นหลัก แค่เริ่มโฆษณาก็หลอกลวงแล้วใช่ไหมครับ และแน่นอนครับมีผู้หลงตกเป็นเหยื่อมากมาย ในวันนี้ผมจึงจะมาขอแฉพฤติกรรมแหลๆ ของโฆษณาที่สร้างรายได้เกินความเป็นจริงเหล่านี้กัน
ปล.เนื่องจากผมประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย การเอ่ยชื่อเต็มๆหรือชื่อต่างๆอาจทำให้ถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ จึงขออนุณาติทุกท่านไปศึกษากันเอาเองนะครับ.......
ปล.บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาทำให้ผู้ที่ทำอาชีพขายตรงอย่างสุจริตได้รับความเสียหาย เพียงแต่ผู้เขียนต้องการจะเปิดโปงความจริงบางอย่างเกี่ยวกัยการหลอกลวงผู้อื่นให้ไปทำงานขายตรงอย่างไม่สุจริต
เริ่มต้นนะครับ กลุ่มคนพวกนี้จะส่งเมล์หรือ Tag รูปภาพหรืออะไรต่างๆที่เป็นการเชิญชวนให้มาทำงานโดยมีลักษณะดังนีครับ
เด็กอายุ 17 ปี ทำงาน Part Time ได้เงินเดือนหลักแสน”
“ทำงาน Part Time ทำอยู่บ้าน รายได้เดือนละ 5,000-30,000 บาท”
“งานผ่านเน็ต ทำวันละ 2-3 ชม. รายได้ดี ไม่กระทบงานประจำ”
“รับสมัครพนักงานตำแหน่งผู้เชี่ยวญชาญด้านสุขภาพ”
“รับสมัครพนักงานให้ข้อมูล และดูแลลูกค้า ด้านสุขภาพและโภชนาการ”
“รับสมัครพนักงาน Part Time / Full Time ทำงานที่ศูนย์สุขภาพ อบรมฟรี”
“รับสมัครนางแบบคู่กับแพนเค้ก”
แน่นอนครับเมื่อมีคนสนใจก็จะกรอกข้อมูลลงไป จากนั้นก็จะถูกโทรมาชักชวนให้ไปอบรม
ใน การอบรมก็ไม่มีอะไร เป็นเพียงการแนะนำสินค้าของเค้า และโฆษณาว่ามีใครเกี่ยวข้องกับเค้าบ้างเพื่อให้น่าเชื่อถือ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนักในเรื่องการขายของ ของแต่ละคน และมีการให้ลูกทีมขึ้นเวทีมาบอกว่ามีรายได้เท่าไหร่ (ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ถ้าจริงไม่รู้มีรายจ่ายสำหรับงานนี้ต่อเดือนเท่าไหร่ไม่ยอมบอก) และไม่บอกเรื่องค่าใช้จ่ายต่อเดือนด้วยว่าเท่าไรมีอะไรบ้าง (ขั้นต่ำ 20,000 บาทต่อเดือนที่ต้องจ่ายให้บริษัทนี้) จากนั้นจะนัดให้ไปอบรมอีกครั้งบอกว่าเป็นการอบรมที่สำคัญมากๆๆๆๆ ถ้าใครจะทำงานนี้ต้องไป ถ้าไม่ไปก็ทำงานนี้ไม่ได้ (แต่ข้อมูลมันก็ไม่ได้แตกต่างจากที่อบรมไปเมื่อกี้เท่าไหร่) ต้องเสียค่าใช้จ่าย 500 บาท มีการโกหกด้วยว่าการอบรมครั้งนี้จะจัดที่ประเทศไทยในวันอาทิตย์นี้ ถ้าพลาดก็ไม่รู้ว่าจะมาจัดในประเทศไทยอีกเมื่อไหร่ (แต่เค้าก็จัดทุกวันอาทิตย์นั้นแหละ แล้วงานอบรมของคนใหม่ที่บริษัทนี้ก็ไม่เคยจัดต่างประเทศสักที) เมื่อผู้สนใจที่อยากทำงานได้ยินเช่นนี้ก็เกรงว่าจะเสียโอกาสในการทำงาน จึงต้องรีบตัดสินใจโดยไม่มีเวลาคิดให้รอบครอบ
เมื่อเข้าไปอบรมจะถูก การสร้างภาพ และโน้มน้าวให้เห็นว่าทำได้ง่ายเพียงแค่เปิดดูรายชื่อใน E-mail แล้วโทรหาลูกค้า และส่งของไปให้เท่านั้น ใช้เวลาแค่ 2 ชม.ต่อวันก็พอ (แต่จริงๆ แล้ว มันมีอะไรซ่อนไว้อีกมากๆๆ ที่ไม่ได้บอกเรา) จากนั้นทาง Upline ก็จะชวนให้เราสมัคร เสียค่าสมัครพันกว่าบาท แต่ไม่บอกว่าต้องเสียค่ารายปีอีกประมาณสองพันกว่าบาท หลังจากนั้นก็ให้เราเลือกว่าจะทำเป็น Supervisor (Sup) หรือ Distributor (Dis) อันนี้เหมือนว่าจะเลือกได้นะแ ต่จริงๆ ไม่มีทางเลือกหรอก ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าถึงแม้จะเลือกทำเป็น Distributor แต่พอทำไปสักพักก็จะถูกบังคับทั้งทางตรง และทางอ้อม เช่น ไม่ให้รายชื่อลูกค้า, กดดันด้านต่างๆ เป็นต้น ทำให้เราเริ่มขายของไม่ค่อยได้ก็จำใจต้องทำคุณสมบัติเป็น Sup ซึ่งการทำคุณสมบัติที่ว่านี้จะต้องทำคะแนน 4,000 VP เป็นเงินมากกว่า 130,000 บาท หรือ 2,500 VP ต้องทำ 2 คน พร้อมกันในเดือนเดียวกัน เป็นเงินคนละมากกว่า 85,000 บาท 2 คนรวมกัน 170,000 บาท (ราคานี้ยังมี Vat 7 % ที่ต้องจากเพิ่มอีก) แล้วก็ไม่บอกด้วยว่ายังมีค่าใช้จ่ายหลังจากที่เป็น Sup แล้วอีกเท่าไหร่ (ขั้นต่ำ 20,000 บาท) แล้วถึงแม้ว่าเราบอกว่าขอทำงานเป็น Dis เพื่อเก็บเงิน และสร้างฐานลูกค้าก่อน แล้วค่อยทำคุณสมบัติ เพราะตอนนี้ไม่มีเงิน ก็จะได้รับคำแนะนำวิธีหาเงิน แทนที่จะทำตามแผนที่เราวางไว้ เช่นแนะนำว่าให้ไปกู้เงิน, ทำบัตรเครดิต เป็นต้น เพื่อให้นำมาทำคุณสมบัติให้ได้ แล้วบอกว่าเมื่อเป็น Sup จะได้อะไรบ้าง แต่ไม่บอกว่าต้องเสียอะไรบ้าง
เมื่อเรายอมเชื่อทำ คุณสมบัติแล้วโดยการซื้อสินค้ารวม Vat 7% เป็นมูลค่ากว่า140,000 บาท ซึ่งตรงนี้จะทำให้ Upline ของเราได้รับรายได้จากการที่เราสั่งซื้อสินค้าเป็นหมื่น และนี้ก็เป็นเหตุที่ Upline ของเราพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้เราเป็น Sup ให้ได้ แม้ว่าเราจะสั่งซื้อสินค้า แล้วขายไม่ได้ก็ตาม (ไม่มีฐานลูกค้า) เมื่อ Upline ของเราได้ตามเป้าหมายของเค้าแล้วในส่วนนี้ ที่นี้เค้าก็จะเริ่มเผยไต๋ออกมาให้เรารู้อะไรบ้างแล้ว (เพราะเราลงทุนไปแล้วถึงรู้ก็เลิกทำไม่ได้อยู่ดี) อย่างเช่น ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาเป็นรายเดือนอย่างต่ำ 15,000 บาท หรือมากกว่านั้น ต้องจ่ายค่า Office, ค่าโต๊ะ ประมาณ 5,000 บาท ต้องจ่ายค่าสมาชิกเป็นรายปีมากกว่า 2,000 บาท และยังมีรายจ่ายในการดำเนินการอีกมากมาย ซึ่งในความคิดเห็นของเรา เหมือนกับว่าเราทำงานต้องลงทุน และแบกรับความเสี่ยงเอง แต่ว่ารายได้ที่ได้ต้องนำมาให้กับทางบริษัทเกือบทั้งหมด กว่าจะขายให้ได้กำไร 20,000 บาท เน้นว่ากำไรนะ ต้องลงทุนไปเท่าไหร่ ต้องลงแรง ต้องยอมรับภาระขาดทุน แต่กลับไม่ได้ใช้เงิน เพราะต้องมาจ่ายให้บริษัทนี้ และการทำงานนี้มากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน เท่ากับว่าไม่มีเงินที่จะนำมาใช้จ่ายได้เลย แถมต้องเป็นหนี้อีกต่างหาก เพราะกู้เงินมาทำคุณสมบัติแล้ว
ต่อหน้า 2