นสพ.ภัทรพล มณีอ่อน หมอรักษาสัตว์ป่าคนแรกของไทย ภายใต้ท้องฟ้าสีครามบนผืนป่ากว้างทั่วประเทศ คือห้องทำ
งานที่เขาใช้ช่วยชีวิตสัตว์ป่าให้อยู่รอดปลอดภัยจากเงื้อมมือมนุษย์ ภารกิจสำคัญซึ่งหมอหนุ่มหวังจะผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติในสภา
จากนักกีฬาบาสเกตบอลตัวแทนระดับจังหวัดผันตัวเองมาเรียนคณะสัตวแพทย์เพื่อลบคำปรามาสของเพื่อนๆในที่สุดเขาก็เดินตามฝันได้สำเร็จเริ่มต้นจากเป็นหมอช้างของกรมปศุสัตว์ที่บ้านเกิดกระทั่งเข้าไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการวุฒิสภาและได้รับการ
แต่งตั้งให้เป็นนายสัตวแพทย์สัตว์ป่าคนแรกของประเทศไทยประจำกรมปศุสัตว์สถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติจ.สุรินทร์นสพ.ภัทรพลมณีอ่อนหรือ
หมอล็อตพูดคุยถึงภารกิจพิทักษ์ชีวิตสัตว์ป่าของเขาให้เราฟัง
นายสัตวแพทย์หนุ่มวัย 28 ปีเริ่มต้นเล่าประวัติชีวิตของตัวเองซึ่งเกิดและเติบโตในจ.สุรินทร์คุณพ่อ(พ.ต.อ.เลื่อน) รับราชการตำรวจส่วนคุณ
แม่(นิธินาถ)รับราชการที่สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทจากนั้นคุณพ่อได้พาครอบครัวย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่จ.นครศรีธรรมราชกระทั่งอายุ 11 ปี จึงย้ายกลับมาเรียนมัธยมศึกษาปี 2 ที่โรงเรียนสุรวิทยาคารอ.เมืองจ.สุรินทร์และจบปริญญาตรีคณะสัตวแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
ด้วยความเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนและเป็นตัวแทนระดับจังหวัดทำให้เขากังวลในคำถามที่อยู่ในใจเรื่อยมาที่ว่า“หากเลือกเรียนคณะยากจะไม่มีเวลาเล่นกีฬา”แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็เลือกเรียนสัตวแพทย์์ท่ามกลางข้อกังขาของอาจารย์และเพื่อนๆที่เคยปรามาสว่าคนอย่างเขาจะเป็นหมอได้หรือโดยเจ้าตัวให้เหตุผลที่เลือกเรียนสัตวแพทย์ว่า“เพราะสัตว์พูดไม่ได้ว่าเจ็บหรือปวดตรงไหนจึงคิดว่าการรักษาสัตว์น่าจะยากกว่าการรักษาคน
พอเรียนจบก็รู้ทันทีว่าการเรียนกับกีฬาสามารถทำควบคู่ไปด้วยกันได้ผมเลยมีเป้าหมายว่าไม่อยากเป็นหมอแต่ยังอยากเล่นกีฬาต่อไป(ยิ้ม) ถ้าวันหนึ่งร่างกายไม่ไหวแล้วก็ยังมีวิชาชีพสัตวแพทย์ติดตัวอยู่เลยอยากทุ่มเทให้กับกีฬาที่เราหวังไว้”เขาเผยความตั้งใจแรกที่อาจดูแปลกๆในสายตาคนอื่น
แต่ในที่สุดความคิดที่ว่าก็มีอันต้องล้มเลิกและทำให้เขาหันมามุ่งมั่นในการเรียนสัตวแพทย์อย่างจริงจังเมื่อได้มาพบกับคุณหมออลงกรณ์มหรรณพ(นายสัตวแพทย์ช่วยราชการสำนักพระราชวังผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทุกประเภท) ซึ่งเป็นผู้ที่ให้แรงบันดาลใจในการเป็นผู้มอบชีวิตใหม่ให้กับสัตว์และถือเป็นบุคคลต้นแบบของเขานับแต่นั้นมา
“ท่านบอกกับผมว่า ‘ล็อตเรียนจบแล้วให้กลับไปดูแลช้างที่บ้านนะ’เพราะหมออลงกรณ์เป็นเสมือนพ่อพระที่ปางช้างของจังหวัดสุรินทร์ควานช้างให้ความเคารพหมออลงกรณ์มาก และหมอก็เป็นไอดอลของผมด้วย”
หมอล็อตเล่าให้ฟังว่าสมัยเรียนทุกเทอมต้องเดินทางไปฝึกงานคนเดียวในป่าซึ่งอยู่ในที่ห่างไกลและทุรกันดารโดยเฉพาะปางช้างในจังหวัดลำปางสุรินทร์และพระนครศรีอยุธยาเพื่อที่จะได้เรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเอง
ปัจจุบันนี้หมอล็อตดำรงตำแหน่งนายสัตวแพทย์ประจำส่วนศึกษาและวิจัยอุทยาน สำนักอุทยานแห่งชาติกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชนอกเหนือจากหน้าที่คุ้มครองดูแลสุขภาพสัตว์ป่าแล้วยังรวมถึงการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับ
สัตว์ป่าด้วย
“ภารกิจของผมไม่ใช่เพื่อคุ้มครองสัตว์ป่าเพียงอย่างเดียวแต่คุ้มครองคนด้วยเพราะปัญหาสัตว์ป่าบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจากคนฉะนั้นผมต้องหาวิธีทำให้ทั้งสัตว์ป่าและคนอยู่ด้วยกันได้ผมอยากให้คนคิดเสมอว่า ผลแห่งการกระทำของคนที่มีต่อป่าและสัตว์ป่าจะย้อนกลับมาทำให้คนเดือดร้อนเช่นกัน”อธิบายด้วยสุ้มเสียงหนักแน่นพร้อมบอกว่าการรักษาสัตว์ป่าไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่ลูกน้องที่มาช่วยงานก็เคยถูกช้างเหยียบอาการหนักปางตายมาแล้ว
ทว่ากำลังใจที่สำคัญและมีส่วนผลักดันให้เขาทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยนั้นมาจากการได้เห็นความทุ่มเทของเพื่อนร่วมงานชมรมหมอสัตว์ป่าที่ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์รวมทั้งแรงสนับสนุนจากผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสทั้งดร.เพ็ญศักดิ์จักษุจินดาอดีตส.ว.สกลนคร, ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าสามารถสุมะโนจิตราภรณ์ผอ.ส่วนศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติ
จนวันหนึ่งเขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า“เราต้องรักษาช้างจนตายหรือ” เมื่อต้องประสบปัญหาเรื่องการดูแลสุขภาพช้างซึ่งเกิดจากความบกพร่องของระบบการทำงานในส่วนของการจัดการและสวัสดิภาพ เพราะหากต้องตามรักษาช้างอย่างนี้ไปเรื่อยๆก็เท่ากับว่าต้องทำงานจนตายแต่ในที่สุดปัญหาของช้างก็มีผู้เห็นความสำคัญโดยดร.เพ็ญศักดิ์จักษุจินดาคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมวุฒิสภาในขณะนั้นได้ให้ความสนใจเรื่องปัญหาช้างทั่วประเทศจึงเชื้อเชิญหมอล็อตให้มาร่วมเป็นคณะทำงานในฐานะผู้ชำนาญการของคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมวุฒิสภา
“ผมตื่นเต้นมากที่ได้รับเกียรตินี้เพราะทำงานไม่ถึงปีประสบการณ์ก็ยังน้อยแต่ผู้ใหญ่ในที่ประชุมบอกว่าเขาไม่สนหรอกว่าหมอล็อตอายุเท่าไหร่จะมีคุณวุฒิวัยวุฒิมากน้อยแค่ไหนรู้เพียงว่าหมอล็อตมีความรู้ด้านวิชาชีพโดยตรงคือสัตวแพทย์บนพื้นฐานคุณธรรมและจริยธรรมเพียงเท่านี้ก็เริ่มงานที่ปลายหอกได้ไม่จำเป็นต้องเริ่มงานที่ด้ามหอกเสมอไป”เขาเปรียบเทียบการทำงานที่ต้องแก้ไขตรงไปที่ต้นตอของปัญหา
ผู้ใหญ่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ทำงานอย่างมุ่งมั่น แต่ความที่อุปนิสัยส่วนตัวไม่ชอบอยู่ท่ามกลางป่าคอนกรีตหมอล็อตจึงขอลาออกจากตำแหน่งประจวบกับคณะกรรมาธิการชุดดังกล่าวหมดวาระพอดีแต่ในขณะเดียวกันทางวุฒิสภาก็ต้องการสานต่อโครงการช่วยเหลือสัตว์ป่าเขาจึงคิดริเริ่มโครงการช่วยเหลือสัตว์ป่าที่เจ็บป่วยไม่มีสัตวแพทย์เข้าไปรักษาโดยสุวิทย์คุณกิตติรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นเห็นชอบในหลักการว่ากรมป่าไม้และกรมอุทยานควรจะมีสัตวแพทย์เข้ามาดูแลสัตว์ป่า จึงแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่ง “นายสัตวแพทย์สัตว์ป่าหรือ Wildlife Veteririan” คนแรกของประเทศ
“ตอนนั้นเคว้งมากเพราะเราไม่มีตำราอ้างอิงไม่มีหลักการทำงานที่ชัดเจนไม่เหมือนต่างประเทศที่เป็นป่าโล่งสามารถขับรถเข้าไปรักษาสัตว์ได้ แต่บ้านเราป่าทึบเดินทางเข้าไปก็ลำบากจึงเป็นโจทย์ที่ทำให้ต้องคิดหนักมาก พอดีผมมีเพื่อนที่เป็นสัตวแพทย์ที่ได้ร่วมกันทำงานและถ่ายทอดประสบการณ์เกือบสิบปีเป็นบันทึกจนทำเป็นตำรามา 1 เล่มเพื่อใช้เป็นคู่มือการเรียนการสอนกับนักศึกษาสัตวแพทย์รุ่นใหม่ซึ่งสมัยก่อนเน้นการอนุรักษ์มากกว่าการรักษาเพราะเขาเห็นว่าการล้มตายของสัตว์ป่าเป็นเรื่องของธรรมชาติแต่วันนี้มันไม่ใช่สัตว์ป่าบาดเจ็บก็มาจากคน”ที่สำคัญในอนาคตสัตวแพทย์หนุ่มคนนี้มุ่งมั่นหวังจะให้การรักษาสัตว์ป่าเป็นระบบสากลและตั้งใจจะเข้าไปผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าในฐานะนักการเมืองอีกไม่ช้าไม่นานนี้แน่นอน
http://www.whoweeklymagazine.com/people_content_detail.php?t=thai&t1=people&id=248