สรุป เดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมมีการระบายน้ำไม่เกิน 40 ล้าน ลบม ครับ
เดือนเดียว..ที่เก็บน้ำไว้ คือปัญหาที่รอให้รัฐบาลให้คำตอบว่าทำไมถึงไม่ระบายน้ำครับ
คุณintervintion ตามหลักสถิติเราจะดูความ ทิศทางการเพิ่มขึ้นและลดลงของปริมาณด้วยว่ามีความแปรผันอย่างไร ต่างจากปีก่อนๆ อย่างผิดธรรมชาติมากมายไหม และเราจะเห็นได้ว่ากราฟของสองเขื่อนใหญ่ วิ่งผิดธรรมชาติมากเมื่อเทียบกับสถิติย้อนหลังหกปี
กลับข้อมูล ณ วันที่ 10 ส.ค. ซึ่งก็ต้องเทียบระหว่างปี 53 กับ 54 ดังนี้ครับ
- เขื่อนภูมิพล ปริมาณน้ำ ปี 53, 4,126-ล้าน.ลบ.ม. ปี 54, 9,393-ล้าน.ลบ.ม.
- เขื่อนสิริกิต์ ปริมาณน้ำ ปี 53, 4,009-ล้าน.ลบ.ม. ปี 54, 8,130-ล้าน.ลบ.ม.
ปริมาณส่วนต่างของช่วงเดียวกันระหว่างสองปี 9,388-ล้าน ลบ.ม.
นั่นหมายถึงเมื่อนายกปูเข้ารับตำแหน่ง มีน้ำมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เกือบ สิบล้าน ลบ.ม. แต่ต้องไม่ลืมนะครับว่ารัฐบาลจะมีอำนาจสั่งการตามกฎหมายได้หลังจากแถลงนโยบายแล้วเท่านั้น
- นั่นหมายถึงทางเขื่อนก็ต้องสะสมน้ำต่อไปตามนโยบายของรัฐบาลรักษาการ เพราะอดีตนายกมาร์คไม่ได้สั่งให้ระบายน้ำ (เพราะผมไม่เห็นใครเอาคำสั่งมาโชว์)
- กว่ารัฐบาลจะแถลงนโยบายเสร็จน้ำส่วนต่างก็ร่วมหมื่น ลบ.ม.แล้วครับ
ผมว่าทุกคนคงพอจะเข้าใจธรรมชาตของระบบราชการไทยนะครับ
สรุป เดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมมีการระบายน้ำไม่เกิน 40 ล้าน ลบม ครับ
เดือนเดียว..ที่เก็บน้ำไว้ คือปัญหาที่รอให้รัฐบาลให้คำตอบว่าทำไมถึงไม่ระบายน้ำครับ
ผิดครับในเดือน กันยายน สองเขื่อนระบายน้ำประมาณ 80-ล้าน บล.เมตร/วัน ตามลิ้งข้างล่างครับ http://water.rid.go.th/flood/flood/res_table.htm