...........ความจริงวันนี่........
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการรับจำนำข้าว ครั้งที่ 13/2555 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2555 ที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน (หลังที่ประชุม ครม. มีมติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2555/56) มีการพิจารณาติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล

โดยในส่วนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2555 มีการรับทราบความคืบหน้าว่า มีการเปิดโกดังกลางรับข้าวแล้วใน 418 คลัง รับมอบข้าวแล้วจำนวน 6,852,323.68 ตัน
สำหรับข้าวเปลือกค้างส่งมอบ พบว่ามีจำนวนสูงถึง 1,187,088 ตัน แบ่งเป็น องค์การคลังสินค้า (อคส.) 852,500 ตัน องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) 334,588 ตัน ขณะที่ข้าวสารค้างส่งมอบ จำนวน 1,187,544 ตัน แบ่งเป็น อคส. 1,044,549 ตัน อ.ต.ก. 142,995 ตัน รวมจำนวนข้าวทั้งหมด 2,374,632 ตัน ยังไม่รวมข้าวสารที่ยังไม่มีคลังกลางส่งมอบอีกประมาณ 500,000 ตัน

ทั้งนี้ เมื่อรวมจำนวนข้าวค้างส่งทั้งหมด ตัวเลขจะอยู่ที่ 2,874,632 ตัน หากคำนวณวงเงินงบประมาณที่รัฐบาลใช้ไปกับการรับจำนำข้าวจำนวนนี้ ตันละ 15,000 บาท จะพบว่าเป็นวงเงินที่สูงถึง 43,119.48 ล้านบาท
และในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ที่มีนางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธานในขณะนั้น ได้มีการระบุ ถึงการพิจารณาผลการวิเคราะห์คุณภาพข้าวเปลือกค้างส่งมอบโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ของรัฐบาล จำนวน 25 โรงสี ใน 15 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พิจิตร สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ ราชบุรี สุพรรณบุรี หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ตามที่ อคส.นำเสนอ

พบว่ า เมื่อทดสอบการสีแปรสภาพแล้ว สีได้ต้นข้าวร้อยละ 0-14.70 ลักษณะเมล็ดส่วนใหญ่เป็นสีเหลืองและสีน้ำตาล มีกลิ่นแบบข้าวเปลือกเก่า และบางแห่งมีกลิ่นเหม็นเน่าไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ได้มีมติ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555 เห็นชอบการจำหน่ายข้าวเปลือกค้างส่งมอบ ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ประมาณ 46,204.13 ตัน เพื่อจำหน่ายในประเทศ โดยวิธีการออกหนังสือเชิญชวนให้ผู้สนใจเสนอซื้อ เนื่องจากนำมาสีแปรสภาพเป็นข้าวสารไม่คุ้มกับค่าสีแปรสภาพที่กำหนดตันละ 500 บาท
อย่างไรก็ตาม ในเอกสารการประชุมดังกล่าว ไม่ได้มีการระบุเรื่องการดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องกรณีปรากฏข้าวเสื่อมสภาพดังกล่าว แต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2555 เพื่อพิจารณาเรื่องการกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอความเห็นว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวที่เกษตรกรนำมาจำนำในโครงการ เพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าวโดยเฉพาะการรับจำนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิเพื่อได้กำไรจากส่วนต่างราคา

รวมถึง การนำข้าวในสต็อกของรัฐบาลบางส่วนมาหมุนเวียน และการนำข้าวนาปรังที่รับซื้อจากเกษตรกรในช่วงต้นฤดูที่มีราคาถูกมาขายกลับเข้าโครงการรับจำนำเพื่อรับส่วนต่างของราคาข้าวในและนอกโครงการรับจำนำ ตลอดจนติดตามและตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวเก่าที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าอย่างเข้มงวด โดยรายงานให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณทราบทุกรายไตรมาส
ขณะที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานต่อที่ประชุม ครม. วันที่ 2 ตุลาคม 2555 ถึงผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล โดยระบุว่า มีข้าวสารสีแปรสภาพจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี การผลิต 2554/2555 และส่งมอบแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 4.102 ล้านตัน (ค้างส่งมอบจำนวน 27,063 ตัน) ขณะที่ยอดข้าวสีแปรสภาพจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก นาปรัง มีข้าวที่สีแปรสภาพและส่งมอบแล้ว จำนวน 6.295 ล้านตัน (ค้างส่งมอบจำนวน 1.024 ล้านตัน) เมื่อรวมข้าวสารที่รับมอบทั้ง 2 โครงการแล้วเป็นปริมาณ 10.39 ล้านตัน และการดำเนินงานโครงการที่ผ่านมา ทำให้ราคาข้าวในตลาดทั้งระบบปรับสูงขึ้น เกษตรกรที่ไม่ได้รวมโครงการได้รับประโยชน์เป็นมูลค่ารวม 57,000 ล้านบาท ช่วยยกระดับราคาข้าวไทย รายได้จากการส่งออกข้าวของประเทศทั้งระบบสูงขึ้น ประมาณ 28,000 ล้านบาท
แต่ในเอกสารเสนอเรื่องดังกล่าว ไม่ได้มีการระบุถึงความคืบหน้าการตรวจสอบปัญหาการทุจริตและมาตรการป้องกันปัญหาแต่อย่างใด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่ สนข.อิศรา http://bit.ly/RMkrO0
//@เด็กชายเล

ข้าวไม่ได้คุณภาพ..ข้าวเสื่อมคุณภาพให้ขายภายในประเทศ..สุดยอดการแก้ปัญหาจริงๆครับพี่น้อง..
ขอบคุณแหล่งที่มาครับจากสายตรงภาคสนาม..