|
วันนี้พบกับ Tummeng Travel อีกครั้งนะครับ ช่วงนี้อาจจะเจอกันบ่อยหน่อยเพราะ ผมเดินทางค่อนข้างบ่อย และก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาฝากเพื่อนๆทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวยัง ประเทศที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้ไป หรือ ถ้ามีโอกาสก็อาจจะเลือกที่ไม่ไป ซึ่งเป้นประเทศเล็กๆ ในอาเซียนเรานี่เอง นั่นคือ ประเทศ บรูไน
บรูไนจะเป็นเป็นแบบใดในสายตาและมุมมองผม ก็สามารถติดตามกันได้ครับ ใน Tummeng Travel Magazine ฉบับที่ 39 นี้ครับ กับ Brunei : A Kingdom of Unexpected Treasures
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ผมมักจะแวะเข้าไปดูเว็บไซค์ เคทีซีเวิร์ลอยู่เสมอๆ และเมื่อได้เห็นประกาศรับสมัครเข้าร่วมกิจกรรม “It’s More Fun in the Philippines ที่ KTC Real Team ครั้งที่ 36 ร่วมกับการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ และ Quality Express จัดขึ้น โดยมีเงื่อนไขการสมัครคร่าวๆ ดังนี้
1. ผู้สมัครเข้าร่วมกิจกรรมต้องเป็นสมาชิกบัตรเครดิต KTC 2. เป็นสมาชิก KTC Word สมัครได้ที่ http://bit.ly/KTCWorldMember หรือติดตามข่าวสารการประกวดที่แว่วๆมาว่าจะมีครั้งต่อไปเร็วนี้ที่ .facebook.com/KTCWorldCommunity
3. ส่งผลงานรีวิวท่องเที่ยวบนเว็บไซด์ หรือบล็อกต่างๆ พร้อมเหตุผลแรงบันดาลใจในการเดินทาง 4. หากได้รับคัดเลือกจะเข้าร่วมคณะทัวร์รายการ Discovery ASEAN จำนวน 6 วัน 5 คืน ซึ่งจัดโดย บริษัททัวร์ ควอลิตี้ เอ็กเพรส จำกัด 5. และเมื่อกลับมา เขียนรีวิวการเดินทางเรื่องราวประทับใจผ่านบทความและภาพถ่าย ผ่านเว็บไซด์หรือบล็อกต่างๆ
ผมก็ตัดสินใจว่าจะสมัครแน่ๆ และผมก็เกือบจะไม่ได้สมัครเพราะ ผมติดภาระกิจในการท่องเที่ยวหลายที่ในช่วงนั้น จนมาถึงวันก่อนจะปิดรับสมัคร 1 วัน ผมจึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วม โดยการให้เหตุผลในการสมัครว่า สองประเทศที่ผมยังไม่ได้ไป ในอาเซียน ก็คือ บรูไน และ ฟิลิปินส์
และผมก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะและได้เดินทางไปพร้อมกับ ผู้ชนะอีกคน คือ คุณเดี่ยว Cold River โดยสามารถพาผู้ติดตามไปได้ ท่านละ 1 คน
และไปรวมกับกรุ๊บทัวร์อีก 12 คน ในการเดินทางครั้งนี้ จะมี ทั้งหมด 16 คน
|
|
|
|
|
|
|
บรูไน ประเทศนี้ ผมที่เคยเป็นครูอาเซียน ของ โรงเรียนมัธยม ย่อมรู้จักดี เพราะต้องศึกษาข้อมูลต่างๆ ไปสอนนักเรียน จากการศึกษา ทั้งในหนังสือและ Internet ก็พบว่าประเทศนี้ไม่น่าจะมีอะไรน่าสนใจไปกว่า ความร่ำรวยของกษัตย์ และ แหล่งน้ำมัน ที่เหลือใช้ สวัสดิการ ที่ดี ของประชาชน ผมแทบไม่สนใจ วัฒนธรรม หรือ สถานที่เที่ยวของประเทศนี้เลย แต่เมื่อผมได้มีโอกาสไปจริงๆ กลับพบว่า บรูไน มีอะไรมากกว่า ที่ผมคิดไว้ เยอะเลย
|
|
|
|
|
|
|
จุดเริ่มต้นการเดินทาง
ก่อนการเดินทางประมาณ 2 สัปดาห์ ผมงัวเงียตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ตอนเวลาประมาณ 9 โมงเช้า มีน้องนักรีวิวที่รู้จักท่านหนึ่งโทรมา บอกว่า พี่ตั้มๆ ดีใจด้วยนะครับ ผมสวนกับไปว่าดีใจอะไรกัน คำตอบที่ได้รับมาคือ ผมได้รับคัดเลือกให้ไปบรูไน - ฟิลิปปินส์ ตามที่ผมสมัครไว้
ผมจึงมีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก เพราะผมมีทริป เกาะไม้ท่อน ก่อนเดินทางอีกหนึ่งทริป
เมื่อถึงวันเดินทางผมเลือกที่จะเดินทางด้วยสายการบิน Bangkok air เพราะว่าผมต้องไปต่อเครื่องไปบรูไน ที่ สุวรรณภูมิ บางกอกแอร์จึงเป็นสายการบินที่สะดวกมาก
ผมเดินทางออกจากบ้าน ตี5 เพื่อไปสนามบินเพราะบ้านผมอยู่ห่างจากสนมบิน 145 โล เมื่อมาถึงเชคอิน โหลดกระเป๋า ก็เข้าไปหาของอร่อยๆกินได้เลย ฟรี ครับ
|
|
|
|
|
|
|
นั่งไม่ถึง ชั่วโมงครึ่งผมกับเพื่อนก็มาถึง สนามบินสุวรรณภูมิ ผมจัดการนักแนะกับกรุ๊ปทัวร์ เช็คอิน โหลดกระเป๋า ของสายการบิน Royal Brunei เรียบร้อย ก็ไปแลกเงิน เล็กน้อยพอติดกระเป๋า เพราะมากับทัวร์คงไม่ได้ใช้อะไรมากนัก
|
|
|
|
|
|
|
ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง ผมก็มาอยู่บนน่านฟ้าของประเทศบรูไน และสิ่งแรกที่ผมเห็นอย่างเด่นชัดก็คือ พระราชวังของ สุลต่าน บรูไน ในมุมสูงแบบนี้ เมื่อเครื่องลงที่สนามบินบรูไน ซึงเป้นสนามบินเล็กๆ คงประมาณ สนามบินภูเก็ตบ้านเรา หลังจากออกมาจากสนามบินก็มี บริษัททัวรืท้องถิ่นของบรูไนมารับ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทั้งลำที่ผมบินมาหาคนไทยได้น้อยมาก และ กรุ๊บทัวรืส่วนใหญ่ จะเป็นกลุ่มคนจีน และคนญี่ปุ่น ซะมากกว่า
|
|
|
|
|
|
|
หลังจากเดินทางเข้าที่พัก ได้สักพักผมเหลือบไปเห็นท้องฟ้าสีส้มเหลือง ผมจึงชักชวนเพื่อนร่วมทริป ออกไปหาที่สวยๆถ่ายรูปกัน ซึ่งก็ได้ข้อสรุปคือ จะไปถ่ายแสงเย็นที่ มัสยิด Jame Asr Hassanil Bolkiah โดยการนั่งแท็กซี่ไป โดยบอกกับไกค์ทัวร์ว่าไม่ต้องรอพวกผมให้ทานข้าวไปก่อนเลย ถ้ากลับมาไม่ทัน ตามเวลานัดนัดทานข้าว ของกรุ๊ป เพื่อเป้นการไม่เสียเวลาของคนอื่นๆ ในรูปเป็นการถ่ายตอนอยู่ในรถแท็กซี่ เพื่อลุ้นว่าจะไปทันแสงเย็นหรือไม่
Jame Asr Hassanil bolkiah ที่เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1987 และแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1994 โดยสุลต่านองค์ปัจจุบัน เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบการครองราชย์ 25 ปี มัสยิดแห่งนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า “มัสยิดทองคำ” โดยมีการนำเข้าวัสดุชั้นดีจากมุมต่างๆของโลก เช่นหินอ่อนจากประเทศอิตาลี แชนเดอร์เลียทองคำจากออสเตรีย ยิ่งรวมกับสถาปัตยกรรมชั้นยอดด้วยแล้วที่นี่จึงได้ชื่อว่าเป็นมัสยิดแห่งชาติบรูไน
|
|
|
|
|
|
|
โชคไม่ดีซักเท่าไหร่ วันที่เราไปเป้นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันละหมาดใหญ่ของบรูไน จึงมีคนเยอะ รถจอดกันเต็มลานและถนน โดยรอบ ทำให้หามุมถ่ายยากมากที่จะไม่ติดคน หรือ รถ เมื่อความมืดมาเยือน แสงสี ที่เปิดส่องเข้าไป ทำให้ มัสยิด Jame Asr Hassanil Bolkiah สวยเด่น สง่างามมาก ๆ
|
|
|
|
|
|
|
หลังจากทานอาหารเสร็จ หัวหน้าทัวร์ก็พาไปเดินย่อยอาหารที่ตลาดมืด ตลาดกาดง ไนท์มาร์เก็ต ถามว่า จำเป็นมั๊ย ที่ต้องไปที่นี่ ตอบคือ มันไม่ต่างจากตลาดนัด หรือ ตลาดบ้านเราเท่าไหร่นัก แต่ ผมไม่ว่าจะไปที่ไหน มักจะชอบไปเดินสำรวจตลาดอยู่เสมอ เพราะ เป็นการได้รับรู้ถึง ความเป้นอยู่ การกิน การอยู่ ของคนพื้นถิ่นนั้นๆ เพื่อเราจะสามารถประเมินได้ว่า ถ้าเรามาเอง ไม่ได้มากับทัวรื เราจะเป็นอย่างไร
|
|
|
|
|
|
|
เช้าวันที่สอง เราเดินทางไปเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์มาเลย์ หรือ มาลายู ซึ่งการเที่ยว พิพิธภัณฑ์ มักจะถูกเข้าบรรจุ ในทริป ของทัวร์เสมอๆ
ที่นี่จะเป็นการบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมา ของชนชาวมาลายู ตั้งแต่ สมัยแรกๆ ที่เข้ามาอยู่เกาะแห่งนี้ มีการจำลอง วิถีชีวิต บ้านเรือนต่างๆ และมีการพัฒนา ขึ้นเรื่อยๆ จนมากลายเป็น บรูไน ในปัจจุบัน
|
|
|
|
|
|
|
Kampong Ayer ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำบรูไน มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน เพราะนับตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านสร้างเมือง ผู้คนก็เริ่มอาศัยอยู่กันแล้ว เพราะสภาพภูมิศาสตร์บนบกที่เป็นป่าหนาทึบขอบเกาะบอร์เนียว เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ที่อาจทำร้ายได้ ตรงกันข้ามเมื่ออยู่กับน้ำจึงมีความปลอดภัยมากกว่า นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมต่างๆของชนชาติบรูไน และยังปลูกฝังให้ผู้คนผูกพันกับสายน้ำมาจนถึงวันนี้ ถึงวันนี้มีบนหมู่บ้านริมน้ำนี้ยังแยกย่อยออกเป็น 42 หมู่บ้าน รวมประชากรทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นคน จนว่ากันว่าที่นี่คือหมู่บ้านลอยน้ำแห่งนี้ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก
|
|
|
|
|
|
|
ว่ากันว่า เดิมที สุลต่านบรูไน ก็เคยอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้ หมู่บ้านแห่งนี้ถูกอนุรักษ์ไว้ และมีการสร้างพระราชวังไกล้ๆ กับหมู่บ้านแห่งนี้ นั่นเอง

|
|
|
|
|
|
|
หลังจาก ออกมาจากหมู่บ้านน้ำ เราเดินทางไปต่อกันที่ มัสยิด Omar Ali Saiffuddien หรือมัสยิดขาว ซึ่งอยู่ ติดกับท่าเรือเลย
มัสยิด Omar Ali Saiffuddien สร้างขึ้นโดยสุลต่าน โอมาร์ อาลี ไซฟุดดิน เพื่อเป็นมัสยิดประจำพระองค์สมเด็จพระรามาธิบดีองค์ที่ 28 ของบรูไน ซึ่งก็คือพระราชบิดาของสุลต่านองค์ปัจจุบันนั่นเอง
|
|
|
|
|
|
|
เป็นมัสยิดที่ สวย และมีการ ตกแต่ง ต่างๆ ควรค่าอย่างยิ่งที่จะมาเยือน
เป้นความโชคดีอีกครั้ง ที่ วันที่ผมเดินทางไปนั้น อากาศดีมากๆ แดดร้อน ฟ้า สวย ช่วงที่ผมเข้าไปเยี่ยมชม น่าจะ เกือย 11 โมง แล้ว
ซึ่งจากการที่ ดูพยากรณ์อากาศ ล่วงหน้าก่อนเดินทางนั้น บรูไน มีฝนตกตลอด สามสี่วัน ก่อนที่ผมจะไปถึง แต่วันที่ผมไปถึง นั้น ถือว่าเป้น วันฟ้าหลังฝน จึงสวยงามเช่นนี้
|
|
|
|
|
|
|
ผมและเพื่อนกลุ่มนักรีวิว ไม่เดินเข้าไปดูด้านในเพราะไม่สามารถถ่ายรูปได้ จึงเลือกที่เดินรอบนอก เพื่อเก็บภาพสวยๆ ของ มัสยิด Omar Ali Saiffuddien ในเวลากลางวัน ท่ามกลางแดดที่ร้อนจัดมากๆ
การก่อสร้างมัสยิด นี้เน้นสีขาว และหินอ่อน จนว่ากันว่าเป็น ทัชมาฮาล แห่งบรูไน (สำหรับคนที่ไปทัชมาฮาลมาแล้วแบบผม คิดว่าไม่เหมือนซะทีเดียวนะครับ 5
|
|
|
|
|
|
|
หลังจาก ทานข้าวเสร็จแล้ว กลุ่มเราเดินทางต่อไป ยัง พิพิธภัณฑ์ สุลต่าน เพื่อเข้าชม เรื่องราว ประวัติ และ สมบัติ ล้ำค่า และ ของที่ระลึกต่างๆ จากแขกอันทรงเกียรติ ได้มอบไว้ให้ สุลต่าน
เช่นเดิมครับ ข้างในห้ามถ่ายรูป ถ่ายได้แต่บริเวณห้องโถงด้านนอก แต่ขอบอกว่า ข้างในนั้น มี สิ่งสวยงาม มากมาย เสียดายที่ไม่ได้ ถ่ายมาให้ชม
|
|
|
|
|
|
|
ใช้เวลา ประมาณ ชั่วโมงนึง เราก็ออกเดินทางไปยัง มัสยิดโบเกีย เพื่อชม ความงามในตอนกลางวัน อีกครั้ง
|
|
|
|
|
|
|
มาถึงช่วงบ่าย โชคไม่ดีนัก อากาศไม่ค่อยดี เมฆครึ้ม เล็กน้อย
|
|
|
|
|
|
|
ครั้งนี้มีโอกาสเข้าไปชมข้างในด้วยแต่ ก็ไม่สามารถถ่ายรูปมาได้เช่นเคย ก็เดินเก็บรูปข้างนอกไปเรื่อยๆ มุมเดิม ในเวลากลางวัน ใครอยากได้มุมนี้ สวยๆ ควรมา ช่วงสายๆ เพราะจะหันหลังให้ดวงอาทิตย์ พอดี
|
|
|
|
|
|
|
แล้วก็เดินทางไปต่อกันที่สวนดอกไม้ นานาชาติ ซึ่ง ว่ากันตามตรง โปรแกรมนี้ หากใครจะมา ผมว่า ตัดออกไปได้เลย ไม่ค่อยมีอะไร ซึ่งกรุ๊ปผม ก็ไปขอต่อรองกับหัวหน้าทัวร์ ว่า ไม่ชมต่อแล้ว หลังจากเข้าไปได้ สัก 15 นาที ขอเอาเวลาไป เดินห้าง หรือ เก็บรูป ตรงใจกลางเมืองดีกว่า หัวหน้าทัวรื ก็ใจดี บอกว่า โอเค และพาไปปล่อยไว้ ไกล้ๆ จุด ทานอาหารเย็น ซึ่งเราเคยมาแล้ว นั้นคือ ท่าเรือ ที่ไปหมู่บ้านกลางน้ำ
|
|
|
|
|
|
|
เมื่อโดนเอามาบ่อยให้ไปช๊อปปิ้ง แบบนี้ คุณคนไม่ค่อยมีเงินแบบผม ก็ทำได้แต่เพียงเดินหามุมถ่ายรูปสวยๆมาฝาก ก่อนที่พระอาทิตย์จะตก ตรงท่าเรือ ข้ามฟาก
ผมและเพื่อนเดินทาหมุมที่ จะถ่าย พระอาทิตยืตกสวยๆ คู่กับมัสยิดขาว Omar Ali faifudden ก็เดินมาเรื่อยๆ เพราะจำได้ ว่า เมื่อกี้รถวิ่งผ่านจุดนี้ น่าจะเป็นจุดที่พระอาทิตย์ตกสวยๆ แน่ๆ
|
|
|
|
|
|
|
แต่จุดนี้ถูกล้อมรั้วไว้ ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ ทำได้แต่ ส่องกล้องลอดผ่านซี่ลูกกรงเข้าไป
|
|
|
|
|
|
|
ผมจึงตัดสินใจ เดินอ้อมถนนไปอีก บล๊อกนึง เพื่อ หามุมที่ดีกว่านี้
|
|
|
|
|
|
|
เมื่อสังเกตุเห็นว่า วันนี้ โชคไม่ดี เพราะ เมฆ บังจุดที่พระอาทิตย์ตกแน่ๆ แล้ว ก็เลยเดินผ่านมา ยังจุดที่เป้น ไฮไลต์ ในการถ่ายภาพ มัสยิด ของ บรูไน
|
|
|
|
|
|
|
จะบอกว่า การถ่ายรูป ที่นี่นั้น จริงๆ แล้ว จะมี รั้วกั้นไว้อีกที ไม่ใช่จะถ่ายได้ง่ายๆ จ้องเอาเลนส์ลอดผ่านซี่ลูกกรง เข้าไปถ่าย ซึ่งยากพอสมควร
|
|
|
|
|
|
|
การเดินทางมาทริปนี้ ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ถ่ายภาพ สถานที่สวยๆ ขนาดนี้ ต้องเรียกว่าเกินความคาดหวังจริงๆ ไม่คิดว่าบรูไน จะสร้างความประทับใจ ในการถ่ายรูปและ การมาเที่ยวทริปนี้ ได้อย่างมากมาย ทั้งผมและเพื่อน
|
|
|
|
|
|
|
ค่ำคืนสุดท้ายในบรูไน ตรงท่าเรือข้ามฟาก
สรุป บรูไน ประเทศ ที่ 9 ในอาเซียนที่ผมมีโอกาสได้มาเยือน ถือว่าสร้างความประทับใจเกินความคาดหวังไว้มาก
ประเทศเล็กๆ ที่มีขนาดเท่ากับจังหวัดหนึ่งในประเทศเรา มีประชากรแค่ 4แสนกว่าคน ประเทศที่มีความเคร่งครัดในศาสนา ห้ามจำหน่าย แอลกอฮอล์ ไม่มีผับ มีบาร์ ให้เที่ยวในกลางคืน แต่ก็มีหลายสิ่งสามารถทดแทนได้เช่นกัน
และก่อนที่ใครจะมาประเทศนี้ ผมมีสิ่งที่ควรรู้ก่อนมา ฝากไว้สักนิด
1. ด้วยสภาพอากาศในเขตร้อน จนน่าจะเรียกได้ว่าร้อนกว่าบ้านเราอยู่สักหน่อย การแต่งกายควรเน้นที่ใส่สบาย แต่ควรหลีกเลี่ยงกางเกงหรือกระโปรงสั้น เสื้อไม่มีแขนสำหรับผู้หญิง ส่วนผู้ชายไม่ถึงกับห้าม แต่หากใส่กางเกงขาสั้น เมื่อเข้าไปเยี่ยมชมมัสยิดต้องสวมเสื้อคลุมเพื่อความสุภาพ
2. การเข้าชมมัสยิดต้องถอดรองเท้าทุกครั้ง หากไม่ใช่มุสลิมให้เดินในบริเวณที่จัดไว้ให้เท่านั้น
3. การทักทายของชาวบรูไน ใช้วิธีการสัมผัสมือเบาๆ แล้วมาสัมผัสที่หน้าอก ส่วนคนผู้เคร่งมากๆ อาจไม่ สัมผัสมือกับคนต่างเพศ โดยเฉพาะสตรีบรูไนมักไม่ยื่นมือให้บุรุษสัมผัส
4. การใช้นิ้วชี้ชี้คน สิ่งของถือเป็นการไม่สุภาพ หากมีความจำเป็นให้ใช้นิ้วโป้งข้างขวาแทน และการยื่นของรับของ ก็ต้องเป็นเฉพาะมือขวาเช่นกัน มือซ้ายใช้เพียงประคองมือขวาเท่านั้น
5. ภาษาที่ใช้สื่อสารอย่างกว้างขวางคือภาษามาเลย์ แต่นักท่องเที่ยวไม่ต้องกังวลชาวบรูไนส่วนใหญ่สามารถ สื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี
6. การรับประทานอาหารเช่นเดียวกับประเทศอิสลามอื่นๆ คือไม่มีจำหน่ายเนื้อหมู ต้องสั่งอาหาร เป็นเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ แทน
7. ประเทศบรูไนไม่มีธรรมเนียมการให้ทิป ส่วนร้านใหญ่ๆ ส่วนใหญ่จะมีการเก็บค่าบริการเพิ่มร้อยละ 10 อยู่แล้ว
8. การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งไม่ควรทำเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ จะทำได้เฉพาะอยู่ภายในห้องพัก หรือ ในบ้านเท่านั้น และจะต้องนำไปเองได้ไม่เกิน 2 ขวดสำหรับสุราหรือไวน์ ส่วนเบียร์สามารถนำเข้าได้ไม่เกิน 12 กระป๋อง
และหวังว่าท่านจะประทับใจในการมาเที่ยว บรูไน แบบผม
|
|
|
|
|
|
|
และขอขอบคุณผู้สนับสนุนการเดินทางครั้งนี้
ขอบคุณสายการบินบางกอกแอร์ สำหรับตั๋วเดินทางจาก เชียงราย มา กทม
ขอบคุณ KTC Real Team / การท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ / Quality Express ที่เลือกผมให้เป้นตัวแทนโครงการเที่ยว Discovery ASEAN จำนวน 6 วัน 5 คืน
ขอบคุณ เพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้นี้ หวังว่าจะเป้นประโยชน์แก่ท่านไม่มากก้น้อย
หากจะให้กำลังใจแก่นักรีวิวเช่นผม ก็สามารถฝากข้อความทักทายไว้ในกระทู้บ้างจะยินดียิ่งครับ
และหากมีคำถามเพิ่มเติม หรือ ต้องการพูกคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเที่ยว หรือ ติดตามการท่องเที่ยว ของนาย Tummeng Travel คนนี้สามารถเข้าไปได้ที่ แฟนเพจ
https://www.facebook.com/TummengMagazine
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณมากครับ
|
|
|
|
|
|
|