"bizhub i-SERIES" มีขั้นตอนการทำ
งานที่รวดเร็วและง่ายขึ้นโดยมอบความสามารถในการทำงานและสามารถสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพสูง พร้อมรองรับการทำงานที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำงานร่วมกับซอฟท์แวร์การจัดการงานพิมพ์หรืองานสแกนได้ทันทีจากพาแนลเครื่อง สมัยใหม่รวมถึงอุปกรณ์ITS ในรูปแบบ (on-premise / cloud) ได้ตลอดเวลา และสร้างความมั่นคง พร้อมความปลอดภัยทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยจาก BitDefender ที่การออกแบบร่วมสมัยมีส่วนต่อประสานกับผู้ใช้สมาร์ทโฟน ผ่าน Application Konica Mobile Print และยังรองรับการยืนยันตัวตน การสั่งพิมพ์ รวมถึงการรับงานสแกนจากอุปกรณ์ที่มี NFC ได้อย่างรวดเร็วทันที
นางสาวสุธิดา กล่าวต่ออีกว่า
" i " ของ bizhub i-Series มาจากคำศัพท์ทางการตลาดของ i-Generation (หรือที่เรียกว่า Generation Z ซึ่งหมายถึงยุคที่บุคคลเกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยในการทำงานและการดำรงชีวิต) ซึ่งในปัจจุบันคน Gen Z ได้เริ่มเข้าสู่สังคมในการทำงานมากขึ้น ซึ่งจะมีปัจจัยในการเลือกองค์กร หรือสำนักงานที่มีความเป็นดิจิตอลที่ทันสมัย ซึ่ง โคนิก้า มินอลต้า ใช้ " i " เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า i-Series นั้นสามารถประยุกต์ใช้กับสำนักงานยุคใหม่ที่ทันสมัย และตรงกับความต้องการรวมถึงความรู้สึกของผู้ใช้ในยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของ
"โคนิก้า มินอลต้า" จะเป็นกลุ่มบริษัทเอกชน และหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย โดย บริษัทฯ กำลังดำเนินการตามกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเติบโตทั้งในกลุ่มธุรกิจสำนักงาน และกลุ่มธุรกิจสิ่งพิมพ์ระดับมืออาชีพ ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มผลกำไรโดยการเพิ่มยอดขายและการปฏิรูปโครงสร้างต้นทุน ซึ่ง
"i-Series" Konica Minoltaต้องการที่จะมุ่งเน้นไปที่"ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง" และเราต้องการเป็นหุ้นส่วนกับคุณโดยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจของคุณไปด้วยกัน
"ปัจจุบันเครื่องมัลติฟังก์ชันมีราคาถูกลงเมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา เทรนด์การใช้เครื่องมัลติฟังก์ชันนั้นจะเพิ่มขึ้นกับกลุ่มธุรกิจ, SME ขนาดกลาง-ใหญ่, กลุ่มบริษัทออฟฟิศ, สถานประกอบการต่างๆ เพราะสะดวก เรียบง่าย ไม่กินพื้นที่มากเกินไป ลดความซ้ำซ้อน สามารถใช้ทำงานได้หลายแบบในเครื่องเดียว และด้านความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันนั้นก็คือความคุ้มค่าในการใช้งาน และบริการหลังการขาย เมื่อเกิดปัญหาต้องมี On Site Service ให้บริการถึงออฟฟิศ หรือที่ทำงาน อีกทั้งธุรกิจในปัจจุบันเริ่มตระหนักถึงความปลอดภัยในการพิมพ์มากขึ้น ผู้ให้บริการเครื่องมัลติฟังก์ชันจำเป็นที่จะต้องหาโซลูชั่นต่างๆสำหรับป้องกันภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นด้วย รวมทั้ง click charge rate ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อ ยิ่งถ้าทำ click charge rate ในราคาที่คุ้มค่า ผู้บริโภคยิ่งมีการตัดสินใจซื้อที่สูงขึ้นตามลำดับ"
นางสาวสุธิดา กล่าว
นางสาวสุธิดา กล่าวอีกว่า โคนิก้า มินอลต้า เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ได้ประมาณ 5 ปี โดยมี Market Share ของตลาดเครื่องถ่ายเอกสารสี ประมาณ 11% อยู่ในอันดับ 4 (ข้อมูลปี 2018) ในมูลค่าตลาดเครื่องถ่ายเอกสารปี 2018 ประมาณ 31,000 ล้าน ซึ่งลดลงจากปีก่อน 10% จากภาวะเศรษฐกิจ และในปี 2019 มั่นใจว่าจะดึง Market Share เพิ่มขึ้นประมาณ 15% พร้อมขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ในตลาดเครื่องถ่ายเอกสารสี ซึ่งปัจจุบันอัตราการขายเครื่องสีต่อเครื่องขาวดำ อยู่ที่ 42% ต่อ 58%
"ในปี 2018 ที่ผ่านมา มีการขายขาดเครื่องถ่ายเอกสารประมาณ 45% ส่วนอีก 55% จะเป็นรูปแบบเช่าซื้อ และบริษัทฯ มีรายได้ประมาณ900 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักของบริษัทคือ Office Print (bithub ซีรีย์ต่างๆ) ที่ 30-35% และจาก Production Print ประมาณ 20% ที่เหลือจะมาจากค่าอื่นๆ เช่น ค่าบริการจากสัญญาเช่าต่างๆ โดยปีนี้ โคนิก้า มินอลต้า คาดหวังจะทำรายได้ 1,000 ล้านบาท และปีหน้าจะมีการ launch i-SERIES ตัวใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปริ้นได้ 60 หน้า/นาที อีกด้วย"
นางสาวสุธิดา กล่าวปิดท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจเครื่องมัลติฟังก์ชัน
Konica Minolta"bizhub i-Series สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ โทร. 02-029-7000 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.konicaminolta.co.th และ
Facebook : konicaminoltabth